White lies "โกหกสีขาว" ในทัศนะทางพุทธศาสนา

"โกหกสีขาว" หรือที่เรียกให้ทันยุคสมัยหน่อยก็ White lies........
บทความที่นำเสนอในช่วงนี้ จะเป็นส่วนประกอบการบรรยายรายวิชาำสำหรับนักศึกษา คณะอักษรศาสตร์ มศก. เพื่อให้น้องๆนักศึกษาเข้าใจสถานการณ์และสถานภาพของพระพุทธศาสนาและสังคมในภาพรวมในปัจจุบันได้มากยิ่งขึ้น(ตามแนวทางพุทธศาสนา).....และให้น้องๆได้เตรียมตัวสอบปลายต้นที่จะถึงในวันที่ 4 ต.ค. 2555 นี้
.....ไหนๆน้องๆก็จะเริ่มเข้าสู่เรื่องท่าทางจะเครียดๆแล้ว..ฟังเพลงผ่อนคลายเบาๆกันก่อนดีไหม?
ชื่อเพลง "White lies" อิอิ ผ่อนคลายยัง..(ขนาดชื่อเพลงยังไว้ลาย..เลย) ช่วงหลังค่อยต่อด้วยวิชาการดีม๊ะ

          

เริ่มเข้าสู่เนื้อหาเด่น..ประเด็นแรกกันเลยครับ 
เมื่อมีนักวิชาการออกมาวิพากษ์
.....กรณี นายกิตติรัตน์ ณ ระนองรองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ "โรดแมพสู่อนาคตประเทศไทย"ในงานสัมมนา "หนึ่งปียิ่งลักษณ์กับอนาคตเศรษฐกิจไทย" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม 2555ผ่านมา...
...จนเกิดกระแสคำพูดติดปากผู้คนไปทั่วบ้านทั่วเมืองเมื่อรองยกฯท่านได้พูดถึงคำว่า  "โกหกสีขาว" หรือที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "White lies"
เราลองมาเทียบพจนานุกรมทั้ง 2 ภาษา 100 กว่าประเทศกันดูก่อนว่าเป็นอย่างไร
1.พจนานุกรมราชบัณฑิตของไทย
"โกหก"  หมายถึง จงใจกล่าวคำที่ไม่จริง, พูดปด,พูดเท็จ  ส่วน "ขาว" หมายถึง....โดยปริยายหมายความว่า แจ่มแจ้ง,สะอาดบริสุทธิ์, ปราศจากมลทิน.
2. พจนานุกรมต่างประเทศ
"White lies"  โกหกด้วยเจตนาดี มองเห็นประโยชน์ส่วนรวม
จากที่มาของความหมายทั้งสองคำนี้
คิดดูดีๆก็น่าตลกดีนะ "โกหกสีขาว" ตามความหมายของ 2 ภาษารวมกันมันก็แปลสรุปใจความได้ว่า "พูดคำที่ไม่จริงโดยบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน ด้วยเจตนาอันดี"
ขืนถ้ามีแบบนี้ ต่อไปก็คงจะมีคำว่า  "Black Lies"  โกหกสีดำทำเพื่อตัวเองล้วนๆ ดูแล้วน่ากลัวนะ ก็จะกลายเป็นอาหารสมองให้นักวิชาการประลองความคิดกันอีกไม่รู้จบ  ผมว่านะท่าจะพูดว่า "โกหกสีบานเย็น" จะดูสดชื่นกว่าไหม..ไม่เบาทีเดียว คำนิยามก็ออกประมาณว่า "ออกชมพูเรี่ยๆ เป็นความจริงแบบอึมครึม" อะไรเทือกนี้.......555
          เอาหละครับไม่ว่าจะเป็น "โกหกสีขาว" แบบใด สุดท้ายมันก็คือการ"พูดความจริง"ไม่ทั้งหมด(กั๊ก) นักศึกษาลองมาพิจารณาในแง่พุทธศาสนากันเถิด......

.....พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ได้ให้ความหมายของคำว่า "มุสาวาท" คือ พูดเท็จ,พูดโกหก,พูดไม่จริงจากคำพูดของท่านรองนายกฯถ้าจะนำมาวิเคราะห์ตามหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาจะเห็นได้ว่าคำพูดโกหกถึงแม้ว่าจะไม่มีเจตนาร้าย หรือมีแต่ความปรารถนาดีต่อเศรษฐกิจของประเทศก็ตามผลของการพูดเท็จหรือโกหกสีขาวนั้นมันมีผลสำเร็จเรียบร้อยแล้วก็คือการกระทำ(กรรม) ที่ส่อเจตนา นั่นคือ ผิดศีลธรรมและคุณธรรมตลอดถึงจริยธรรมของนักการเมือง

.....อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เคยพูดในหนังสือ "พุทธศาสนาในความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย" อย่างน่าคิดทีเดียวว่า
       "อย่างไรก็ตามผมสังเกตว่าโลกทัศน์ของคนไทยปัจจุบัน มักจะให้ข้อยกเว้้นแก่ศีลธรรมกันบ่อยๆ"
อย่างเช่น สมัยหนึ่งพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เคยพูดในทำนองว่านักวิชาการไม่ควรพูดความจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ อย่างน้อยก็ไม่ควรพูดจนหมดเปลือก เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก" (กระมัง)
.......คือต้องยอมรับว่าในยุคสมัยนั้นเรื่องของค่าเงินบาทมาแรงกว่าเรื่องน้ำท่วมซะอีก แบบว่าไล่ตามก้นค่าเงินบาทแบบ Shot ต่อ Shot กันเลยทีเดียว......พอมาถึงยุคสมัยนี้คนก็คงลืมๆไปแล้วคงต้องเรียกให้ใกล้เคียงกับสุภาษิตไทยที่ว่า "น้ำท่วมบาท"..ไปซะแล้วกระมัง อิอิอิ
.....ทั้งๆที่ค่าเงินบาทก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก...นี่แหละคนไทยหัวใจเกินร้อย บ่อยๆเข้านานเข้าก็"ชินไปเอง"
....เมื่อเรานำคำศัพท์ของฝรั่งที่ว่า "โกหกสีขาว" คือไม่ได้โกหกเพื่อผลประโยชน์ของตนเองแต่ที่ฉันต้องโกหกเพื่อผลประโยชน์ของคนที่ถูกหลอกเองนะแหละ....หรืออาจจะเพื่อผลประโยชน์ของผู้คนโดยส่วนรวมก็ว่าได้...ฟังดูแล้วก็ดูดี ในภาษาไทยยังมีคำในลักษณะเดียวกันเวลาพูดแล้วรู้สึกเหมือนไม่ผิดยังไงไม่รู้ เช่นคำว่า "อำ" เล่น ถึงแม้พจนานุกรมฯ จะแปลว่าคำว่า"อำ" ปิดบัง, ปกปิด; (ปาก) พูดหลอกเพื่อให้ตกใจหรือขบขันเป็นต้น, พูดดักคอ คนฟังก็รู้สึกว่ามันคือ "อำ" ง่ะ รู้สึกดีซะงั้น ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ต่างจากการโกหกเท่าไหร่เลย หรือจะพูดคำว่า "อะอะ..ล้อเล่น" มันก็คือการโกหกนั่นแหละ..ต่างกันตรงที่ว่าคำหลังเนี้ยหมายถึงโกหกเสร็จสรรพ(บรรลุกรรมเรียบร้อย)เฉลยปุ๊ป..แค่นั้นเอง ในทางพุทธศาสนาแสดงว่าการโกหกนั่นสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซนแล้ว....
....ถึงอย่างไรก็ตาม "การโกหก"  ไม่ว่าจะโกหกสีขาว โกหกสีเทา หรือโกหกสีบานเย็น (ฟังแล้วให้มันดูสดชื่่นขึ้นมาหน่อย) ก็ล้วนแล้วแต่...คุณมีเจตนาปกปิดความจริงบางสิ่ง หรือบิดเบือนความจริงบางอย่าง หรือแม้กระทั่งตีหน้าใสไร้เดียงสาพูดออกมาหลังถูกจับได้ว่า "ฉาน..ยังพูดไม่หมดนะยะ"  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นที่มนุษย์ำทุกคนต้องทำ(กระนั้นหรือ) ..สุดท้ายแล้วเมื่อเราทำบ่อยๆ มันจะกลายเป็นพฤติกรรม และถ้ายังไม่เลิกทำมันจะกลายเป็นนิสัย(นิสสัย) ทำนานๆ กลายเป็นสันดานเกาะเลยหละ
และก็มาทึกทักเอาว่ามันเป็น"คุณธรรม"น่านะ .. แบบนี้จะได้ฤา
 ....อย่าว่าแต่พูดเรื่อง "เศรษฐกิจ" เลย
ผมว่าแม้แต่พูดเรื่อง"ภูมิศาสตร์" ในปัจจุบันเอาแค่นักวิชาการเชี่ยวชาญด้านน้ำ(เหลือเกิน)หลายๆท่านยังถกเถียงกันไม่หยุดกะอีแค่ว่า "น้ำจะท่วมหรือไม่ท่วม" หรือ "ขุดรอกคลองหรือยังไม่ขุดรอก" แคเนี้ยนักลงทุนต่างประเทศที่ได้ลงทุนไปแล้วก็รู้สึกหนาวๆร้อนๆ แล้วไอ(They)ที่ยังไม่มาลงทุน..ขอโทษนะ....เขาจะมาไหม
....ผมว่านะการที่ผู้หลักผู้ใหญ่ให้ัข้ัอยกเว้นเรื่องศีลธรรม ก็คงจะมองประโยชน์ของโลกนี้เป็นสำคัญกว่าโลกหน้า อาจารย์นิธิบอกว่าอาจจะถึงนิพพานช้าหน่อยแต่ก็บรรลุน่า.... แต่ก็ยังอยู่ในโลกใบนี้ที่ไม่โหดร้ายเกินไปนัก ผิดศีลธรรมบ้างนิดๆหน่อยๆ"คุ้มมมมมม"

...อีกอย่าง"การโกหก" ทำให้ไม่เคารพสัจจะต่อตัวเอง เพราะตัวเองรู้อยู่ว่าอย่างไหนโกหกเพื่อตัวเอง อย่างไหนโกหกเพื่อมวลมนุษยชาติ การโกหกถือว่าเป็น "ความประมาท" อย่างหนึ่งเหมือนกันที่ต้องระวัง โกหกบ่อยๆ กิเลสก็สั่งสมบ่อยๆบ่อยเข้า..บ่อยเข้า.. จิตก็จะลวงตัวเองว่าสิ่งที่พูดเป็น "โกหกสีขาว" นะ..ทั้งๆที่สิ่งที่พูดเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้องแท้ๆ จะหลงติดอยู่ภายใต้อบาย จะถึงสุขคติได้ยากยิ่งขึ้น นา......(อย่าทำ)
...จากกรณีดังกล่าว....
กระผมจะยกเรื่องราวที่เกิดขึ้นสมัยครั้งพุทธกาลให้่ท่านทั้งหลายฟัง

              ในสมัยก่อน พุทธศาสนิกชนเป็นผู้ใคร่ในการฟังธรรมกันมากฟังกันแบบมาราธอนเลยทีเดียวฟังธรรมทั้งวันทั้งคืนเลยทีเดียว บางท่านถึงกับยอมสละทุกสิ่ง ทุกอย่าง แม้โจรจะเข้าบ้าน มาขโมยทรัพย์สมบัติก็ไม่สะทกสะท้าน ไม่ยอมให้เสียโอกาสในการฟังธรรม เพราะปุถุชนเหล่านั้นมองเห็นว่า "อริยทรัพย์นั้นประเสริฐกว่าโลกิยทรัพย์"

      เรื่องมีอยู่ว่า 
"......อุบาสิกาท่านหนึ่ง อยากฟังธรรมจาก พระลูกชาย คือ พระโสณกุฏิกัณณะ เพราะได้ยินว่าพระลูกชาย เคยแสดงธรรมเฉพาะพระพักตร์พระบรมศาสดา พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา แม้แต่เทวดาก็ยังมาอนุโมทนาด้วย เมื่อนางได้ยินข่าวว่าพระลูกชายมาแสดงธรรมที่วัดใกล้บ้าน คืนนั้นจึงตั้งใจจะไปฟังธรรมให้ได้ ครั้นถึงเวลา นางได้พาบริวารทั้งหมดไปฟังธรรมที่วัดเหลือแค่หญิงรับใช้อยู่เฝ้าบ้านเพียงคนเดียว
     บ้านของอุบาสิกานั้น ล้อมด้วยกำแพง ๗ ชั้น มีซุ้มประตู ๗ ซุ้ม และยังเลี้ยงสุนัขดุไว้ทุกๆ ประตูอีกด้วย  เมื่อพวกโจรสืบรู้ว่าอุบาสิกากับบริวารไปวัดฟังธรรม จึงพากันขุดอุโมงค์เข้าไปในบ้านของนาง โดยหัวหน้าโจรไปดักรออยู่หน้าประตูวัด ตั้งใจว่า ถ้าอุบาสิกานั้นรู้ว่า พวกโจรบุกเข้าไปในบ้านนาง นางจะต้องรีบกลับบ้าน  หัวหน้าโจรก็จะดักฆ่านางตรงหน้าประตูวัดนั้นเอง


     เมื่อพวกโจรเข้าบ้านได้แล้ว ก็เปิดประตูห้องเก็บสมบัติ ขนแก้วแหวนเงินทองกันใหญ่ สาวใช้เห็นพวกโจรเข้ามา จึงรีบไปบอกอุบาสิกา ซึ่งกำลังนั่งฟังธรรมจากพระลูกชายอยู่ที่วัด  แทนที่นางจะรีบกลับบ้าน กลับบอกว่า ใครจะขนเอาอะไร    ก็เอาไปเถิด ฉันจะฟังธรรม เจ้าอย่ามาทำให้ฉันเสียอารมณ์   ในการฟังธรรมเลยŽ

    ครั้นพวกโจรขนสมบัติจากห้องหนึ่งแล้ว ก็เปิดห้องเก็บสมบัติอีกห้องหนึ่ง สาวใช้รีบกลับมาบอกอุบาสิกาอีกเป็นครั้งที่สอง อุบาสิกาก็ยังพูดเหมือนเดิมไล่สาวใช้กลับบ้านไป ไม่ใส่ใจกับเงินทองเหล่านั้น ยังนั่งฟังธรรมเฉย เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนพวกโจรขนเงินทองของมีค่าออกจากบ้านไปจนหมด สาวใช้ทนไม่ไหว รีบไปแจ้งนายอีก อุบาสิกาเกิดความรำคาญ จึงดุไปว่า เจ้ามารบกวนฉันหลายครั้งแล้ว ทำให้ฉันฟังธรรมไม่ต่อเนื่อง โจรจะขนอะไรไป ก็ให้เอาไปตามชอบใจเถิด ฉันจะฟังธรรมŽ

     ฝ่ายหัวหน้าโจรซึ่งแอบย่องตามสาวใช้ฟังอุบาสิกาพูดอยู่ตลอดเวลา เกิดความเลื่อมใสอย่างท่วมท้นในความเด็ดเดี่ยวและมีใจแน่วแน่ในการฟังธรรมของนาง จึงคิดว่า ถ้าหากพวกเราเอาทรัพย์สินของอุบาสิกาผู้มีคุณธรรมสูงเช่นนี้ไป สายฟ้าคงจะฟาดลงกลางกระหม่อมของเราแน่Ž หัวหน้าโจรรีบกลับไปสั่งลูกน้องให้ขนสมบัติเข้าไปเก็บไว้ในบ้านดังเดิม

    พวกลูกน้องโจรต่างงงไปตามๆ กัน แต่เชื่อในคำสั่งหัวหน้า จึงพากันขนสมบัติกลับเข้าไปเก็บ จากนั้นพวกโจรทั้งหมดพากันไปฟังธรรมที่วัดเพื่อจะได้รู้ว่าอุบาสิกานั้นฟังธรรมอะไรอยู่ ทำไมนางจึงสละได้แม้กระทั่งสมบัติ

        เมื่อไปถึงวัด  พวกโจรต่างตั้งใจนั่งฟังธรรมตลอดคืน จนกระทั่งเลื่อมใสในพระรัตนตรัย ขณะฟ้าสาง มหาโจรทั้งหมดได้เข้าถึงไตรสรณคมน์ขอบวชเป็นพระภิกษุในเช้าวันนั้นทันที และภายหลังได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมด ส่วน มหาอุบาสิกาก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันในเวลาต่อมา "

    
จะเห็นได้ว่า ถ้ารักธรรมะจริงๆ แม้จะสูญเสียทรัพย์สมบัติไปเท่าไรก็ยอมแลกได้ โดยไม่คำนึงถึงอุปสรรคใดๆ นี่หากมหาอุบาสิกาท่านนี้ เลิกฟังธรรมแล้วกลับบ้าน นอกจากจะไม่ได้บรรลุธรรมแล้ว ยังต้องถูกโจรฆ่าอีก ไม่ได้ทั้งโลกิยทรัพย์ และอริยทรัพย์ แต่เพราะใจปักแน่นในการฟังธรรมอันประเสริฐ   ไม่ยอมให้มหาโจรที่มาปล้นบ้านเป็นอุปสรรคในการฟังธรรม  นางยอมที่จะสละทรัพย์ภายนอก เพื่อให้ได้มาซึ่งอริยทรัพย์ภายใน ทำให้โจรเกิดจิตเลื่อมใสหันมาประพฤติปฏิบัติธรรมตามนางจนได้บรรลุธรรมกันทั้งหมด ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเสมอ

     จากที่กล่าวมาก็พอจะเห็นภาพว่า ผู้ที่ประสงค์ใช้คำว่า "โกหกสีขาว" ถึงกับยอมสละอริยทรัพย์ภายในตนเพื่อรักษาโลกิยทรัพย์ภายนอกทีเดียว ยอมให้ตนผิดเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือเปล่า  ถ้าคิดเสียสละดีผลดีก็คงจะตามมา ถ้าคิดไ่ม่ดีหลอกลวงตนเองก็คงจะ่ย่อยยับ ดังนั้นควรเสียสละให้ถูกธรรม ดังพุทธภาษิตที่ว่า 
จเช ธนํ องฺควรสฺส เหตุ    องฺคํ จเช ชีวิตํ รกฺขมาโน
องฺคํ ธนํ ชีวิตญฺจาปิ สพฺพํ    จเช นโร ธมฺมมนุสฺสรนฺโต
    พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต
    เมื่อเล็งเห็นประโยชน์สูงสุด พึงสละทั้งอวัยวะ และชีวิต เพื่อรักษาธรรมไว้

....ให้นักศึกษาลองดูวิดีโอตามที่ท่าน ว.วชิรเมธี ได้กล่าวไว้ตามนี้ สอบคราวนี้เกรดDDอยู่ในกำมือของน้องๆแล้วจร้าาาาา
                    

           ขอสรุปว่า "โกหกสีขาว" ไม่ได้มีกล่าวไว้ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา แต่ "มุสาวาทา" มีกล่าวไว้ในหลายแห่งในพระไตรปิฎก เช่นคัมภีร์พระอภิธรรมมัตถะสังคหะ "มุสาวาท" หมายถึง คำพูดที่ไม่ตรงกับความจริงเจตนาที่เป็นเหตุแห่งการกล่าวไม่จริงนั้นชื่อว่ามุสาวาท คือเจตนาที่ให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
โดยมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
           1.อตฺถวตฺถุ สิ่งของหรือเรื่องราวที่ไม่เป็นจริง
           2.
วิสํวาทนจิตฺตตา มีจิตคิดจะมุสา
           3.
ปโยโค ทำความเพียรเพื่อมุสา
           4.
ตทตฺถ วิชานนํ ผู้อื่นเชื่อตามความที่มุสา

มุสาวาทที่ครบองค์ประกอบทั้ง 4 แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
           1.
มุสาวาทชนิดไม่นำไปสู่อบาย ได้แก่ มุสาวาทที่ครบองค์ประกอบทั้ง 4 แต่มิได้ทำความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่ผู้หลงเชื่อมุสาวาทชนิดนี้ถือว่าล่วงกรรมบทเหมือนกัน เพราะมีองค์ประกอบครบถ้วน แต่ไม่มีผลเสียหายร้ายแรงแก่ผู้ใด จึงไม่นำไปสู่อบายภูมิได้
           2.
มุสาวาทชนิดที่นำไปสู่อบายได้ ได้แก่ มุสาวาทชนิดที่ครบองค์ประกอบทั้ง 4 และทำความเสียหายให้แก่ผู้หลงเชื่อย่อมเป็นมุสาวาทที่ล่วงกรรมบท นำไปสู่อบายภูมิได้


เอาหละครับน้องๆ .....
อาจารย์เองก็เหนื่อยเหมือนกัน  คุณแอ๊ดคาราบาวบอกว่า "เกิดมาจากท้องบิดามารดายังไม่เคยได้ยินคำว่าโกหกสีขาว" ดังนั้นโกหกจะเป็นสีอะไรก็ตามแต่ขอแค่อย่าโกหก
แค่นี้น้องๆก็เป็นคนดีได้แ้ล้ว
...คราวหน้าเรามาว่ากันด้วยเรื่อง "พุทธศาสนากับการเมือง" ที่กำลังเข้มข้นจนนักการเมืองในปัจจุบันลืมนำหลักธรรมทางพุทธศาสนาเข้าไปในสภากันแล้วกัน ถึงขั้นแย่งเก้าอี้ประธานรัฐสภากันเลยทีเดียว
ท้ายสุดบทความที่ 1ขอให้น้องๆทุกคนจงโชคAกันถ้วนทั่ว อย่าให้เสียชื่อลูกศิษย์อาจารย์ชาญนรงค์ บุญหนุน เรียนวิชาพุทธศาสนาทั้งทีอย่าได้อายคนให้มีDติดตัวกันไปทุกคนตอนสำเร็จการศึกษาจร้าาา
บ๊ายบายๆๆๆๆ
                                                                        อุดม ตะหน่อง
                                                                                      พธ.บ. (พุทธศาสตร์การสอนสังคมฯ)มจร.
                                                                                      ศศ.ม. (พุทธศาสนศึกษา)ม.ธรรมศาสตร์

1 ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น
ใหม่กว่า เก่ากว่า