วันนี้อยากเขียนอะไรที่สบายๆ(ใจ)
สงกรานต์ปี 55 พึ่งผ่านพ้นไป.....
ความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางคงเหลือไว้ในความทรงจำไปนานแสนนาน...เพราะใช้เวลาเดินทางเกือบ 16 ชั่วโมง(แค่จ.ขอนแก่นเนี้ยนะ)
เพราะครั้งนี้..เจตนากลับไปเยี่ยมบ้านเพียงคิดถึงลูกสาว..ทั้งๆ ที่สิ่งที่ควรจะเป็นคือ "กราบไหว้ผู้ใหญ่(พ่อแม่)ขอพรรดน้ำดำหัว ขอขมาลาโทษในสิ่งที่เคยล่วงเกิน ทั้งทางกาย(การแสดงออกไม่พอใจทางพฤติกรรม)ทางวาจา (การกล่าวว่าด่าทอพูดไม่ดี แม้กระทั้งนินทาลับหลัง)หรือแม้ทางใจ (คิดร้าย/ไม่พอใจ/มีอคติในใจ)" สิ่งเหล่านี้... คือสิ่งที่เราควรนำไปปฏิบัติต่อผู้หลักผู้ใหญ่..ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่...สำหรับผมปีนี้ไปเพียงเพราะคิดถึงลูกสาวอย่างสุดซึ้ง...
ครั้งหนึงพ่อเคยเขียนบรรยาย..ถ่ายทอดความรู้สึกแทนบุตรสาวในวันเกิดของเค้าตอนที่เค้ายังไม่สามารถพูดคุยได้ หวังว่าโตขึ้นมาเค้าจะได้รู้ว่า "พ่อรักเค้าแค่ไหน"ประกับวันนี้เป็นวันที่น้องที่ทำงานร่วมกันได้คลอดบุตรชายคนที่ 3 จึงทำให้คิดถึงเด็กน้อยขึ้นมาจับใจ
ลองลดอคติในใจลง..แล้วทดสอบความรักที่เรามีต่อผู้อื่น
ด้วยการอ่านเรื่องไร้สาระของคนอื่น(อย่างผม) แล้วท่านจะอมยิ้มรู้สึกว่า "เราก็รักคนอื่นเหมือนกันนะ"
"นางแบบค่ะ...”
สงกรานต์ปี 55 พึ่งผ่านพ้นไป.....
ความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางคงเหลือไว้ในความทรงจำไปนานแสนนาน...เพราะใช้เวลาเดินทางเกือบ 16 ชั่วโมง(แค่จ.ขอนแก่นเนี้ยนะ)
เพราะครั้งนี้..เจตนากลับไปเยี่ยมบ้านเพียงคิดถึงลูกสาว..ทั้งๆ ที่สิ่งที่ควรจะเป็นคือ "กราบไหว้ผู้ใหญ่(พ่อแม่)ขอพรรดน้ำดำหัว ขอขมาลาโทษในสิ่งที่เคยล่วงเกิน ทั้งทางกาย(การแสดงออกไม่พอใจทางพฤติกรรม)ทางวาจา (การกล่าวว่าด่าทอพูดไม่ดี แม้กระทั้งนินทาลับหลัง)หรือแม้ทางใจ (คิดร้าย/ไม่พอใจ/มีอคติในใจ)" สิ่งเหล่านี้... คือสิ่งที่เราควรนำไปปฏิบัติต่อผู้หลักผู้ใหญ่..ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่...สำหรับผมปีนี้ไปเพียงเพราะคิดถึงลูกสาวอย่างสุดซึ้ง...
ครั้งหนึงพ่อเคยเขียนบรรยาย..ถ่ายทอดความรู้สึกแทนบุตรสาวในวันเกิดของเค้าตอนที่เค้ายังไม่สามารถพูดคุยได้ หวังว่าโตขึ้นมาเค้าจะได้รู้ว่า "พ่อรักเค้าแค่ไหน"ประกับวันนี้เป็นวันที่น้องที่ทำงานร่วมกันได้คลอดบุตรชายคนที่ 3 จึงทำให้คิดถึงเด็กน้อยขึ้นมาจับใจ
ลองลดอคติในใจลง..แล้วทดสอบความรักที่เรามีต่อผู้อื่น
ด้วยการอ่านเรื่องไร้สาระของคนอื่น(อย่างผม) แล้วท่านจะอมยิ้มรู้สึกว่า "เราก็รักคนอื่นเหมือนกันนะ"
เรื่อง
“พ่อเล่าให้ฟัง”
คุณพ่อบอกว่าหนูเกิดเวลาสี่โมงเช้า..ตรงเป๊ะ..วันที่
๑๕ กันยา
๔๘
ที่ โรงพยาบาลจังหวัดนครปฐม..คุณย่าและคุณยายถามว่าจะให้หนูชื่ออะไรดี..คุณพ่อบอกว่าให้หนูชื่อ
“มดตะนอย”
คุณพ่อบอกชอบละครเรื่องหนึ่ง(จำไม่ได้แล้ว) มีเด็กผู้หญิงชื่อมดตะนอย..แล้วชื่อจริงคุณพ่อก็บอกว่าคิดอยู่นาน..จนได้ชื่อว่า
“ด.ญ.พีระศรี”
ค่ะ..เพราะคุณพ่อบอกว่าตรงกับวันสำคัญที่ที่คุณพ่อทำงานอยู่..หนูไม่รู้หรอกค่ะ....หนูขอเล่าเป็นช่วงแต่ละวัยค่ะ
ช่วงที่ ๑ คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า “..วันแรกที่หนูเกิด..วันแรกที่พ่อเห็นหน้าหนู..วันที่
๑๕ กันยา คุณพ่อบอกว่า....แต่ยังไม่ใช่วันแรกที่หนูจะเห็นหน้าพ่อ..พ่อบอกว่าหนูจะเห็นพ่อต้องรออีกหน่อยจ๊ะ...และหนูก็ไม่ได้ยินด้วย..แต่คุณพ่อบอกว่าคุณพ่อพูดกับหนูวันหนึ่งไม่ต่ำกว่าร้อยๆพันๆรอบ..ทั้งๆที่หนูไม่รู้มาก่อนเลย..เพียงแค่คำว่า
“จ๊ะเอ๋”คำเดียว
ช่วงที่๒ คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า “...พอหนูเริ่มโตขึ้นมาหน่อย..คุณพ่อชอบเอาหนูไปเปรียบมวยกับลูกชาวบ้านเค้าไปทั่ว...ด้วยความหวังลึกๆของคุณพ่อว่า..สักวันหนึงหนูโตขึ้นหนูจะได้เป็น....หนูจะได้เป็น......จะได้เป็น.....
หน้าตาก่อนอึ
หน้าตาหลังอึ
....พอหนูโตขึ้นมาอีก..ถ้าวันไหนหนูได้อึ..หนูจะอารมณ์ดีมากๆเลย...ถ้าวันไหนไม่ได้อึจะงอแงทั้งวัน...และหนูจะถูกคุณพ่อเอายามาสวนก้นอึบ่อยๆ
ทุกครั้งหนูจะกลัวมากร้องไห้แงๆค่ะ...คุณพ่อบอกว่ามีอยู่วันหนึ่ง...หลังจากสวนก้นเสร็จแล้วก็พาหนูไปเที่ยวหาดชะอำ..แล้วหนูก็อึเรี่ยราดเต็มหาดทรายไปหมด..ทำเอาคนที่เค้ามาเที่ยวหาดทรายแตกตื่นกันทั้งหาดเลยค่ะ...นึกว่า
“หาดทรายทอง”
........ที่แท้มันคือ “ขี้”
หนูเอง.....อิอิ..อ๊วก”
ช่วงที่ ๓.๑ คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า “.....
....บ้านคุณพ่อที่บ้านนอก..รายล้อมไปด้วยขุนเขาป่าไม้และท้องนา(ภาพซ้าย)..และทุกครั้งที่คุณพ่อพาหนูกลับบ้านคุณพ่อชอบพาหนูไปเที่ยวบนภูเขาเสมอๆ
..บนภูเขามีวัดมากมาย...แต่หนูขอยืนยันว่า..คุณพ่อหนูไม่ใช่เด็กหลังเขานะ..ก็แค่เชิงเขาน่ะ...เด๋อๆเปิ่นๆ
ตามประสาคนเชิงเขาน่ะแหละ.....หนูชอบภูเขามากๆ..หนูรักพ่อค่ะ
....และคุณพ่อก็เคยพาหนูไปเที่ยวทะเลนอนโรงแรมหรูๆแถวๆชะอำ(ภาพขวา)..แต่ไม่ได้ไปเองนะคะ..คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า..ไม่ประทับใจเลย..ด้วยเหตุผลอะไรนั้น..คุณพ่อบอกว่าจะไม่ขอกล่าวไปชั่วชีวิต..บอกแต่เพียงว่า
“มันสู้ขุนเขาบ้านเราไม่ได้เลยสักนิดเดียว..ลูกพ่อ”
ช่วงที่ ๓.๒ คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า “......
พวกพี่ๆป้าๆ...(ภาพรวมๆ) ทั้งสายสนับสนุนและสายวิชาการ...หนูไม่รู้..และไม่เข้าใจเหมือนคุณพ่อหรอกค่ะว่า..สาย..มันคืออะไร..รู้สึกสัมผัสได้เพียงสิ่งเดียวว่า..
“คุณลุง..และคุณป้าและพี่ๆที่ทำงานพ่อ..น่ารักทุกคน”
...และหนูก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อให้หนู๋เรียกลุงๆ ป้าๆ ที่เหมือนคุณยายหนูว่า “คุณครู”(คณาจารย์ประมาณว่าสูงวัยหน่อย)...ไม่มีชื่อเหมือนลุงๆป้าๆ
ในห้องทำงานพ่อหรือคะ.....
ช่วงที่ ๔ (เริ่มเรียนรู้) คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า
“........
.....คุณพ่อชอบพาหนูไปที่วัด..คุณพ่อบอกว่าหนูชอบถามคุณพ่อเสมอๆว่าไปวัดทำไม..ไม่เอาตลับเมตรไปด้วย...
...(มีแววเป็นตลก..ซะงั้น)..ถามทีไรคุณพ่อก็มักจะตอบเสมอๆว่า ... “เมื่อหนูโตขึ้นหนูก็จะรู้เองแหละ...หนูไม่เข้าใจหรอก”
(ถึงมาอธิบายคำว่า “มหา” ให้ฟัง...ตั้งแต่กรุงเทพฯยันเชียงใหม่...ก็คงไม่เข้าใจ...จะกล่าวไปไยต้องมาอธิบายเรื่องบุญกรรมเล่า...คิดว่าเค้าโตขึ้นมาคงเรียนรู้ได้เองจากสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว)
ช่วงที่ ๔ ช่วงสุดท้าย ปลาย ๓ ขวบ..คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า.... “...
...พอหนูเริ่มโตขึ้น อายุได้ ๓ ขวบ..
....หนูเริ่มมีผู้ชายเข้ามาพัวพันในชีวิต(คนกลาง)...แต่ต่อมาไม่ค่อยได้พบพี่เค้าแล้ว...คุณพ่อบอกว่า...แต่ละช่วงแห่งวัย..ก็จะมีทั้งเพื่อนชายและเพื่อนหญิงวนเวียนเข้ามาในชีวิตมากมายแบบนี้แหละ..ตอนนี้พี่เค้าโตแล้วพี่เค้าจะมาเล่นเป็นเด็กเหมือนหนูไม่ได้แล้ว...และคุณพ่อก็บอกเสมอว่า
“ไม่เหงาหรอกลูก...หนูยังมีเพื่อนหญิงอีกคน..ไง”
(คนใส่เสื้อคอบัว)
และสุดท้าย.....ปล.พ่อโดมรักหนูที่สุด
คลิ๊กชมคลิป http://www.youtube.com/watch?v=BR25hNJwNCc
คลิ๊กเข้าเว็บไซต์ http://pormodtanoy.blogspot.com/
คลิ๊กเข้าเว็บไซต์ http://pormodtanoy.blogspot.com/