พุทธศาสนากับการพัฒนาเศรษฐกิจไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ
(ตอนที่ 1)
พุทธศาสนาภายใต้รัฐธรรมนูญกับการพัฒนาเศรษฐกิจ : การบัญญัติให้
‘พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ’
ในรัฐธรรมนูญนั้นถึงทำได้จริงก็ไม่ได้ทำให้คนไทยทั้งประเทศเป็นพุทธที่ดีทันที
แต่มันจะเป็นหลักการสำคัญในการส่งเสริมความเข้าใจและปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาตามมา
เมื่อมีศาสนาประจำชาติ
แล้วพยายามปลูกฝังให้ประชาชนในชาตินั้นหันเข้าหาศาสนามากยิ่งขึ้น
ก็ทำให้คนมีศีลธรรมมากขึ้นได้จริง
แต่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจจะไม่ค่อยสูงตาม เพราะผู้คนจะไม่ค่อยโลภมาก
ความสงบสุขมีเพิ่มขึ้นจริงอาชญากรรมลดลงจริงแต่ธุรกิจในประเทศอาจไม่เจริญหวือหวา
ในที่นี้กระผมจะยกตัวอย่างประเทศภูฏาน (อ่านว่า : ภูฐาน)
ในที่นี้กระผมจะยกตัวอย่างประเทศภูฏาน (อ่านว่า : ภูฐาน)
...ภูฏานเป็นประเทศหนึ่งที่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ
สมัยหนึ่งผมเองก็เคยดูแลนักศึกษาภูฎานที่เข้ามาศึกษาต่อที่คณะเภสัชศาสตร์
มหาวิทยาลัยศิลปากร หลักสูตรประกาศนียบัตร 1 ปี ประมาณซัก 4 รุ่นเห็นจะได้
ชื่อคนประเทศนี้ก็จะออกแนวๆคล้ายๆกันไปหมด ไม่คุ้นหน่อยก็งงๆๆหลงๆๆ ได้ เช่น Sangpo
Pema Wangsuck Dorji Singye เป็นต้น และผมเองก็ได้มีโอกาสได้พูดคุยในเรื่องศาสนาอยู่บ่อยๆ
สิ่งที่นักศึกษาเหล่านั้นพยายามจะนำเสนอให้เราทราบก็คือ
ประเทศเค้าเป็นประเทศที่มีดัชนีความสุขของประชากรอยู่ในระดับต้นๆของโลก และสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดคือประเทศเค้ายังปกครองคล้ายๆ
ประเทศไทยสมัยก่อน คือ ระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ดังนั้นดัชนี้ชีวัดความสุขของพวกเค้ามาจากการปกครองโดยธรรมแน่นอน
อย่างเช่นประเทศเค้าไม่ต้องใช้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค
เหมือนประเทศไทย ประเทศเค้าประชากรทุกคนต้องรักษาฟรีทุกโรค ทุกโรงพยาบาล หรือจะเรียกอีกย่างหนึ่วว่า
“ล้านโรค หมื่นโรงพยบาล บริการถ้วนหน้า ค่ารักษาฟรี” ประมาณนี้กระมัง
....ในทำนองเดียวกันคนเหล่านี้ก็รักประเทศไทย
เค้าบอกว่าประเทศไทยมีทั้ง Amazing Thailand มีทั้ง Unseen in Thailand
Amazing
ครั้งหนึ่งผมเคยชวนนักศึกษาเหล่านี้ไปกินอาหารเกาหลี
พวกเค้าดีใจใหญ่เลย พอเลิกงานผมก็ใช้รถกระบะ Colorado ของผมมารับเลย นักศึกษาภูฏาน 5 คน
เพื่อไปรับประทานอาหารเกาหลี เค้าก็บอกผมว่า
“คุณอุดม ผมรู้สึกตื่นเต้นจังเลย
ที่จะได้มีโอกาสขึ้นห้างสรรพสินค้า กินอาหารเกาหลี กินอาหารญี่ปุ่น Sushi Oishi shazuchi Fuji ว้าวตื่นเต้นจัง ผมต้องวางตัวยังไงครับ..แล้วร้านมีชื่อว่าอะไร”
ดูท่าทางแล้ว...ก็คล้ายๆตอนที่ผมเดินทางจากภูเขาเข้าเมืองกรุงสมัยหนุ่มๆ
ยังไงไม่รู้นะ ผมเองก็คิดชื่อเป็นภาษาอังกฤษอยู่ตั้งนานเหมือนกันว่าจะเรียกชื่อร้านว่าอะไรดีนะ
(ประเทศภูฎานใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองในชีวิตประจำวัน..คือเค้าพูดกันคล่องสองภาษาเลยทีเดียว)
“Mother Zushi” ผมเองก็บอกไปทั้งๆ ที่ก็ยังงงๆๆ อยู่....ถูกอะป่าววะ
“ไม่เคยได้ยินมาก่อน..แปลกดี” พวกเค้าก็พูดเสียงยานๆๆๆเหมือนจะไม่คุ้นชื่อเอาซะเลย
ผมเองก็ได้แต่นึกอยู่ในใจ(เวลานึกง่ะ..นึกเป็นภาษาไทยนะ)ว่า
“อย่าว่าแต่เองเลย...กูเองก็ไม่คุ้นเหมือนกันโว้ย”
และแล้วผมก็พาพวกนักศึกษาภูฎานนั่งรถวนไปตามถนนราชวิถีเพื่อไปดูไฟรอบๆๆองค์พระเสมือนหนึ่งต้องการให้พวกเขาได้เห็นความงดงามขององค์พระปฐมเจดีย์
จากนั้นก็พาไปร้านอาหารเกาหลี โดยวนรถกลับมาหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากรเหมือนเดิม
“คุณอุดมกลับมาทำไม
..ไหนบอกจะพาไปกินอาหารเกาหลี”
“ก็นี่ไง..ร้านอาหารเกาหลี”
นักศึกษาทุกคนก็เงยหน้ามองที่ป้ายแล้วก็วานให้ผมแปลเป็นภาษาอังกฤษให้หน่อย
ผมก็มีน้ำใจแปลให้ทันทีเหมือนกัน
“มาตา เป็นภาษาบาลีแปลเป็นภาษาไทยว่า “แม่”
เป็นภาษาอังกฤษเรียกว่า “Mother”
ร้านมาตาเนื้อย่างเกาหลี..(ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร) จึงแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า
“Mother sushi” 5555 ...แล้วนักศึกษาภูฏานทั้งห้าคน
ก็ร้องเป็นภาษาอังกฤษเป็นเสียงเดียวกันว่า
“Wow Amazing Thailand”
จนทุกวันนี้นักศึกษาสำเร็จการศึกษากลับประเทศไปกันหมดแล้ว
ผมก็ยังไม่หายสังสัยว่า Amazing ที่พวกเองตาโตกันเนี้ย
มันด่าหรือชมฉันวะ........
Unseen
ต่อนิดนึง.....ใกล้วันสำเร็จการศึกษาของนักศึกษากลุ่มนี้ พวกเค้าต้องการให้ผมพาไปเที่ยวแถวๆ
บ้านเกิดของผมย่านมลรัฐ North eastern หรือเรียกให้ชัดถ้อยชัดคำก็ “อิสาน” นั่นแวะ
ผมก็เลยสนองความต้องการของพวกเค้าซะหน่อย วันรุ่งขึ้นก็เดินทางทันทีด้วยรถกระบะ Colorado คันเดิม ในขณะเดินทางก็บอกจังหวัดต่างๆ ทางภาคอิสานให้กับนักศึกษาฟัง
จนทุกคนจำได้ว่ามีกี่จังหวัด เป็นที่สนุกสนานแบบบ้านนอกๆ ยังไงไม่รู้นะ
และก็ได้พาไปเที่ยวสะพานมิตรภาพไทยลาว ริมโขงจ.หนองคาย
“ ไอ จะพา พวกยู ไปกินลาบเป็ดยโสธร..เค้าบอกว่าอร่อยม๊ากๆๆ”
“วาว..คงต้องเดินทางอีกไกล..แล้วเมื่อไหร่จะได้กิน”
กลุ่มนักศึกษาแสดงท่าทางเหนื่อยอ่อน
“แค่นี้เองประมาณ 3 กม. ก็ถึงแล้ว” งงกันใหญ่
และแล้วพวกเราก็ถึงร้านลาบเป็ดยโสธร..ดังใจ
สั่งเมนูแบบแซบๆๆ
เต็มอัตราศึกเลย ...พูดแล้วน้ำยายยัยยยยย..กึ๊ย
“คุณอุดม..คุณอุดม..”
“อะไรอีกหละ..”
ผมพูดด้วยความหงุดหงิด..เพราะกำลังเปิบข้าวเหนียวแบบอดอยากมานาน
“ทำไม...ลาบเป็ดจังหวัดยโสธร
อยู่ริมโขงจังหวัดหนองคาย..แล้วเรียกลาบเป็ดยโสธรได้ไง ทำไมไม่เรียกลาบเป็ดหนองคาย”
“เออ..กินๆไปเหอะ....บ้านไอมันก็เป็นแบบนี้แหละมีไปทั่วทุกจังหวัดอยากกินจังหวัดอะไรบอก.จะพาไปกิน”
“Wow…Unseen in Thailand”
“สุดยอดไปเลย...บ้านพวกไอ..ไม่มีแบบนี้นะ..อิอิอิ”
จนทุกวันนี้
...ผมเองก็ยังตอบคำถามในใจไม่ได้ว่า “ตกลงบ้านนายเชย..หรือบ้านฉันเชยวะ” ..เฮอ
ในใจก็อยากจะคุย..เนี้ยถ้านายได้ไปเที่ยวงานไทยสี่ภาคนะ...นายจะได้กินทุกอย่างเลย
ไม่ต้องเดินให้เมื่อยตุ่มด้วย..เธ่อ..
เข้าเรื่องๆๆ แหมอาจารย์นอกเรื่องซะนาน เดี๋ยวจะสอบกันไม่ได้พอดี
(ต่อ)......ปัญหาก็คือคนไทยทุกวันนี้ส่วนใหญ่เน้นหนักวัตถุนิยมหรือบ้าทุนนิยมแบบฝรั่ง
ในการพัฒนาทุนนิยมเสรีให้เจริญรุ่งเรืองนั้น
ต้องแยกศาสนาออกไปจากรัฐอย่างสิ้นเชิงเพื่อมิให้ศาสนาเข้ามาถ่วง
ขอยกตัวอย่างเช่น ศาสนาสอนมิให้ละโมบ
ถ้าคนไทยทุกคนตื่นเช้ามาไหว้พระตอนเช้า ตอนบ่ายรักษาศีล
ตอนเย็นเข้าวัดฟังเทศน์ ใครจะไปซื้อเหล้ามากิน
ใครจะผลิตสื่อลามกอนาจาร ใครจะสร้างอาบอบนวด
ใครจะเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ใครจะไปนั่งบริหารธนาคาร ใครจะสร้างบริษัทไฟแนนซ์ ถ้าคนไทยอยู่กันอย่างสงบเสงี่ยม
มัธยัสถ์ ประเทศไทยก็จะล้าหลังไปอีก 50 – 60 เลยทีเดียว
(ในความคิดของคนในปัจจุบันนะ)
อาจารย์ ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ ได้เขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า
พวกเจ้าของธุรกิจบ้าทุนนิยมทั้งหลายก็พยายามหาอุบายล่อให้ใช้เงินต่างๆนานา เพราะฉะนั้น
พวกคลั่งทุนนิยมเสรีในสังคมทุกวันนี้จึงผลักใสศาสนาออกไปจากรัฐธรรมนูญหรือนโยบายรัฐ
อย่าว่าแต่ศาสนาเลยครับ แม้แต่สถาบันกษัตริย์เองก็โดนทุนนิยมกระแทกหลายครั้ง
ยกตัวอย่างประเทศพม่า
ภาพจากสื่อออนไลน์
....สมัยอังกฤษปกครองพม่า อังกฤษเองก็พยายามเอาระบบทุนนิยมเข้าไปอยู่หลายครั้ง
แต่เข้าไปลำบากมากเพราะอิทธิพลพระพุทธศาสนายังมั่นคง
ปรัชญาหลักของทุนนิยมเสรีก็คือให้คนบริหารธุรกิจต้องโลภหรือต้องเล็งกำไรสูงสุด
สังคมก็ต้องสอนให้คนฟุ่มเฟือยเพื่อขับเคลื่อน GDP ลัทธิทุนนิยมเสรีจึงจะเจริญได้
จะเห็นได้ว่าในอดีตอังกฤษมีความพยายามที่จะปูทางให้ทุนนิยมเสรีมีความเจริญในประเทศพม่าด้วยวิธีการ
2 ขั้นตอนคือ
1.ดึงการศึกษาออกไปจากวัดให้ได้เสียก่อน
เพราะถ้าการศึกษาอยู่ภายในวัด ผู้คนที่ไปศึกษาก็จะติดอยู่ในหลักศีลธรรมศาสนามากเกินไป
... .............เมื่อพวกเราหันย้อนมามองประเทศไทย
จะพบว่าเราถูกทุนนิยมเสรีพยามรุกรานวัฒนธรรมอย่างรุนแรงมาเป็นเวลานาน
สิ่งหนึ่งที่มองเห็นได้ชัดในช่วง 4 – 5 ที่ผ่านมา เอาง่ายๆ นะอย่างเช่นว่ามีความพยามยามนำคำว่า
“วัด” ออกจากโรงเรียน (ไม่ใช่สิ..เอาออกจากชื่อโรงเรียน) ในอดีตวัดเป็นศูนย์กลางของสังคมในแทบทุกด้าน
โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา การแพทย์ ซึ่งพระสงฆ์มีบทบาทในการบริหารจัดการการศึกษา
การจัดตั้งโรงเรียนภายในวัดเป็นครูใหญ่ของโรงเรียน เช่น เจ้าอาวาสวัดราชบูรณะ
กรุงเทพฯ เป็นครูใหญ่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นต้น จะเห็นได้ว่า วัดกับโรงเรียนคู่กันในสังคมไทยมาโดยตลอด
พระสงฆ์เป็นผู้มีบทบาทในการจัดการศึกษา
ซึ่งมีคุณูปการต่อประเทศและพัฒนาเยาวชนของชาติให้มีศักยภาพ
ต่อมาได้มีนักการศึกษาหัวสมัยใหม่ ได้เข้ามามีบทบาทกำหนดแผนการศึกษาของชาติ
ได้พยายามตัดรากเหง้าแห่งความมั่นคงของชาติ ด้วยการตัดคำว่า “วัด” ออกจารสารบบของการศึกษา เห็นว่า
เป็นเรื่องล้าหลัง ไม่ทันสมัย
การตัดชื่อวัด
ออกจากชื่อโรงเรียนส่อให้เห็นว่า มีเป้าหมายในการลดบทบาทของวัดหรือพระสงฆ์ไทยให้หมดไป
หรือหายไปจากสังคมไทย ประเด็นดังกล่าวนี้ถือว่า เป็นบ่อนทำลายสถาบันชาติ
และสถาบันพระพุทธศาสนา
มส.ได้มีมติออกไปแล้ว
ถือเป็นคำสั่งที่ผลตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จากนี้ไป วัด ที่มีโรงเรียน
จะต้องแจ้งให้โรงเรียนทราบว่า ห้ามตัดคำว่าวัดออกจากชื่อของโรงเรียน
หากโรงเรียนไหนตัดออกไปแล้ว ให้นำกลับมาใส่นำหน้าชื่อโรงเรียนเหมือนเดิม
ซึ่งหากวัดใดไม่ดำเนินการ ถือว่า มีความไม่ปฏิบัติตามคำสั่งมส.
เพราะโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ของวัดปัจจุบันจะต้องทำสัญญาเช่าตามระเบียบการเช่าพื้นที่ธรณีสงฆ์
โดยทางวัดสามารถกำหนดเงื่อนไขการทำสัญญาว่า
โรงเรียนจะต้องห้ามตัดคำว่าวัดออกจากชื่อของโรงเรียน
ซึ่งมีตัวอย่างกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นมาแล้วของ โรงเรียนวัดบวรนิเวศวิหาร
ที่จะตัดคำว่า วัด ออก แต่วัดแจ้งว่า หากตัดคำว่าวัดออก
ก็ต้องย้ายโรงเรียนออกไปจากพื้นที่ด้วย
ยกตัวอย่าง เช่น กรณี
.......ในยุคสมัยหนึ่งผู้บริหารโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตารามก็เคยมาขอหลวงพ่อเจ้าอาวาส
(พระธรรมญาณมุนี : วรรณ มนุญฺโญ ป.ธ.8) ซึ่งท่านละสังขารไปแล้ว เพื่อให้นำคำว่า “วัด”
ออกจากชื่อของโรงเรียน ด้วยเหตุผลว่าเพื่อพัฒนาโรงเรียนเป็นสากล และทันสมัย หลวงพ่อตอบผู้บริหารไปว่า
"อาตมาอนุโมทนาเห็นดีด้วยที่จะตัดคำว่าวัดออกไป”
..ผู้บริหารท่านนั้นก็ยิ้มและดีใจ หลวงพ่อก็กล่าวต่อไปว่า
“แต่ก็ขอให้เอาโรงเรียนออกจากที่วัดไปด้วยนะ”
ผู้บริหารท่านนั้นหน้าก็เริ่มห่อเหี่ยว และหลวงพ่อถามกลับคืนไปว่า
“คำว่า " วัด" มันเป็นอัปมงคลตรงไหนรึ..คุณโยม"
ผู้บริหารท่านนั้นก็ตอบหลวงพ่อเพียงว่า
"เป็นนโยบายผู้บริหารระดับสูงขึ้นไปอ่ะครับพระเดชพระคุณหลวงพ่อ"
และแล้วการตัดคำนำหน้าโรงเรียนมัธยมวัดดุสิตาราม
ก็ถูกยกเลิกไปในที่สุด ที่จริงแล้วสังคมไทยควรใช้ประโยชน์จากคำว่า
“วัด” ที่นำหน้าโรงเรียนเพื่อมาใช้เป็นสื่อพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม
หรือสัญลักษณ์ด้านจิตวิญญาณไม่ดีกว่าหรือ ต่างชาติทุกวันนี้ไม่น้อยเลยทีเดียวที่เค้ามองเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา
แล้วหันมานับถือกันอย่างจริงๆจังๆ แต่คนไทยกลับคิดสวนทาง
โรงเรียนวัดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ด้านจิตวิญญาณที่สามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมซะด้วยซ้ำ
กลับมองไม่เห็นประโยชน์ มองเป็นสิ่งไร้ค่า โบราณ เชย ไม่ทันสมัย
ไม่ใช่เฉพาะพุทธศาสนาเท่านั้นที่เค้าเห็นความสำคัญด้านการศึกษากับศาสนาผสมผสานกัน
ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม เค้าก็มีโรงเรียน เช่นคำว่า เซนต์ พระแม่ สุเหร่า เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้มันเป็นสัญลักษณ์ด้านคุณงามความดีไม่ใช่หรือ
ถ้าในโลกนี้ยังมีคนที่คิดแบบนี้นะ
ผมก็จะบอกให้คนที่คิดทำนองนี้แหละช่วยเอาคำว่า “พิเศษ” ออกจากคุกบางขวางทีเหอะ
คนไม่เข้าใจอย่างผมฟังแล้วดูแล้วมัน สบ๊าย..สบาย..ยังไม่รู้นะ “เรือนจำพิเศษบางขวาง” ซะงั้น
“คุก”
เป็นสัญญลักษณ์กักกันคนทำความผิดเรียกว่า “เรือนจำ” ขณะเดียวกัน “วัด” เป็นสถานที่ประพฤติปฎิบัติธรรม
และปฏิบัติศาสนกิจทางพุทธศาสนา ฉะนั้นคำว่า “โรงเรียนวัด” จึงควรค่าแก่การดำรงรักษาไว้ทุกประการ
....ใช่ม๊ะ..รึใครจะเถียง(อ้างอิง :http://www.mcu.ac.th/site/news_in.php?group_id=1&NEWSID=7005 )
2.เมื่อดึงหลักสูตรออกไปจากวัดแล้ว ก็สร้างโรงเรียนบริหารโดยรัฐบาล
โดยมีวิชาที่เกี่ยวกับศาสนาให้น้อยที่สุด
.......หลักสูตรวิชาพระพุทธศาสนาถูกตัดให้เหลือน้อยมากในระบบโครงการสร้างศึกษาพม่าช่วงอังกฤษดูแล
โดย ปรกติ องค์กรพุทธนั่นแหละที่ค้ำสถาบันกษัตริย์แต่การบริหารประเทศก็ถูกอังกฤษล้วง
ลูกด้วยวิธีต่างๆ นานา เช่น
อังกฤษสนับสนุนชาวคริสต์และสนับสนุนชนกลุ่มน้อยอย่างกะเหรี่ยงให้กระด้าง
กระเดื่องต่อกษัตริย์ พอองค์กรพุทธอ่อนแอ สถาบันกษัตริย์พม่าก็อยู่ไม่ได้
พระเจ้าธีบอโอรสพระเจ้ามินดงเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของพม่าซึ่งถูกอังกฤษ
เนรเทศไปอยู่อินเดียแล้วสถาบันกษัตริย์ก็หมดไปจากพม่าแต่บัดนั้น
ตอนหลังองค์พุทธเข้มแข็งขึ้น เช่น
ขบวนการวันทานุได้พยายามต่อสู้กับอังกฤษจนอังกฤษต้องปล่อยให้พม่าได้เอกราช”
ประเทศไทยก็เจอสถานการณ์เดียวกัน คนดูแลการศึกษาไทยในอดีตหลายคนก็ถูกล้างสมองด้วยปรัชญาทุนนิยมเสรีเช่นเดียวกัน แม้จะมีการศึกษามาดีแต่น่าเสียดายที่สติปัญญาหรือหัวสมองพวกนี้กลับโง่ ไม่ทันฝรั่ง หากสำคัญผิดๆว่าตัวเองฉลาด จึงพยายามเดินตามระบบการศึกษาตะวันตกเซื่องๆ เกือบทั้งดุ้น เอาวิชาอะไรต่อมิอะไรมาให้เด็กเรียน แต่วิชาพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นวิชาใกล้ตัวที่สอนให้เด็กมีศีลธรรม, รู้จักละอายชั่วกลัวบาป, รู้จักรักความยุติธรรมรังเกียจคอรัปชั่น, รู้จักรักพ่อรักแม่กตัญญูคุณ, รู้รักนวลสงวนตัวไม่ประพฤติตัวชั่วช้าก่อนถึงเวลาอันควร, กลับถูกดึงออกไปจากหลักสูตรการศึกษา
ดังนั้นหลักสูตรการศึกษาไทยจึงเป็นเพียงหลักสูตรที่เตรียมคนให้ไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีให้เจริญรุ่งเรืองเท่านั้นเอง ไม่ได้มุ่งเน้นสร้างคนให้พร้อมมูลด้วยสติปัญญาและคุณธรรม พ่อแม่สมัยนี้จึงมุ่งสอนลูกให้รวย ไม่ใช่สอนให้ดี ปัญหาสังคม จึงไม่ได้มีความสำคัญเท่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ ปัจจัยที่รัฐนำไปกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศไทยหลักๆคือเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่ปรัชญาหรือศาสนา ดังนั้น สังคมไทยทุกวันนี้แม้จะมีความเจริญทางวัตถุมากมาย มีคอมพิวเตอร์ มีเทคโนโลยี ฯลฯ แต่ทำไมจิตใจคนเราแย่ลง มีปัญหาอาชญากรรมมากมายไม่เว้นแต่ละวันปัญหาค้ายาเสพติดตามจับกันไม่หวาดไม่ไหว
ประเทศไทยก็เจอสถานการณ์เดียวกัน คนดูแลการศึกษาไทยในอดีตหลายคนก็ถูกล้างสมองด้วยปรัชญาทุนนิยมเสรีเช่นเดียวกัน แม้จะมีการศึกษามาดีแต่น่าเสียดายที่สติปัญญาหรือหัวสมองพวกนี้กลับโง่ ไม่ทันฝรั่ง หากสำคัญผิดๆว่าตัวเองฉลาด จึงพยายามเดินตามระบบการศึกษาตะวันตกเซื่องๆ เกือบทั้งดุ้น เอาวิชาอะไรต่อมิอะไรมาให้เด็กเรียน แต่วิชาพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นวิชาใกล้ตัวที่สอนให้เด็กมีศีลธรรม, รู้จักละอายชั่วกลัวบาป, รู้จักรักความยุติธรรมรังเกียจคอรัปชั่น, รู้จักรักพ่อรักแม่กตัญญูคุณ, รู้รักนวลสงวนตัวไม่ประพฤติตัวชั่วช้าก่อนถึงเวลาอันควร, กลับถูกดึงออกไปจากหลักสูตรการศึกษา
ดังนั้นหลักสูตรการศึกษาไทยจึงเป็นเพียงหลักสูตรที่เตรียมคนให้ไปช่วยพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีให้เจริญรุ่งเรืองเท่านั้นเอง ไม่ได้มุ่งเน้นสร้างคนให้พร้อมมูลด้วยสติปัญญาและคุณธรรม พ่อแม่สมัยนี้จึงมุ่งสอนลูกให้รวย ไม่ใช่สอนให้ดี ปัญหาสังคม จึงไม่ได้มีความสำคัญเท่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ ปัจจัยที่รัฐนำไปกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศไทยหลักๆคือเศรษฐศาสตร์ ไม่ใช่ปรัชญาหรือศาสนา ดังนั้น สังคมไทยทุกวันนี้แม้จะมีความเจริญทางวัตถุมากมาย มีคอมพิวเตอร์ มีเทคโนโลยี ฯลฯ แต่ทำไมจิตใจคนเราแย่ลง มีปัญหาอาชญากรรมมากมายไม่เว้นแต่ละวันปัญหาค้ายาเสพติดตามจับกันไม่หวาดไม่ไหว
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.
2540
มาตรา 4 ระบุไว้ว่า ‘การศึกษาหมายความว่ากระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้
การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม…’
ผมเห็นว่าทุนนิยมมีความจำเป็นระดับหนึ่ง แต่ไม่ควรทิ้งพระพุทธศาสนา รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นบัญญัติที่มีไว้ปกครองชุมชนสำคัญระดับประเทศ ถ้าพระพุทธศาสนามีความสำคัญในการพัฒนาจิตคนไทยอย่างแท้จริง เหตุใดจึงบัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ได้ในเมื่อเราก็เปิดโอกาสให้ศาสนาอื่นๆ เผยแผ่ได้อย่างเสรีเช่น เดียวกัน? เหตุผล ที่นำมาอ้างเพื่อต่อต้านมากมายนั้นถ้าพิจารณาด้วยสายตานักวิชาการล้วนแล้ว แต่คิดหรือสันนิษฐานขึ้นมาเอง นักวิชาการที่แสดงความเห็นค้านส่วนใหญ่นอกจากอ้างเหตุผลผิดๆ ก็เอาจินตนาการตนเองมาเป็นเหตุผลในการค้านจนวุ่นวายโดยใช่เหตุ
ถ้ามีบัญญัติว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ เราก็ได้ข้ออ้างใหญ่ที่จะสร้างกฎหมายลูกหรือระเบียบน้อยใหญ่อื่นๆ ตามมามากมายเพื่อพยายามปลูกฝังคนในชาติที่นับถือพระพุทธศาสนาให้มีศีลธรรม มากกว่านี้ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาหลัก สูตรการเรียนการสอนและจัดครูให้เหมาะสม การอบรมข้าราชการหรือพนักงานทุกระดับชั้นให้มีจิตสำนึกที่ดี เช่น คนไทยพุทธจะไปทำงานในสามจังหวัดภาคใต้ ควรประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างไร ควรมีคุณธรรมอย่างไรบ้าง เป็นต้น (อ้างอิง : ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์)
ผมเห็นว่าทุนนิยมมีความจำเป็นระดับหนึ่ง แต่ไม่ควรทิ้งพระพุทธศาสนา รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นบัญญัติที่มีไว้ปกครองชุมชนสำคัญระดับประเทศ ถ้าพระพุทธศาสนามีความสำคัญในการพัฒนาจิตคนไทยอย่างแท้จริง เหตุใดจึงบัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ได้ในเมื่อเราก็เปิดโอกาสให้ศาสนาอื่นๆ เผยแผ่ได้อย่างเสรีเช่น เดียวกัน? เหตุผล ที่นำมาอ้างเพื่อต่อต้านมากมายนั้นถ้าพิจารณาด้วยสายตานักวิชาการล้วนแล้ว แต่คิดหรือสันนิษฐานขึ้นมาเอง นักวิชาการที่แสดงความเห็นค้านส่วนใหญ่นอกจากอ้างเหตุผลผิดๆ ก็เอาจินตนาการตนเองมาเป็นเหตุผลในการค้านจนวุ่นวายโดยใช่เหตุ
ถ้ามีบัญญัติว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญ เราก็ได้ข้ออ้างใหญ่ที่จะสร้างกฎหมายลูกหรือระเบียบน้อยใหญ่อื่นๆ ตามมามากมายเพื่อพยายามปลูกฝังคนในชาติที่นับถือพระพุทธศาสนาให้มีศีลธรรม มากกว่านี้ได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาหลัก สูตรการเรียนการสอนและจัดครูให้เหมาะสม การอบรมข้าราชการหรือพนักงานทุกระดับชั้นให้มีจิตสำนึกที่ดี เช่น คนไทยพุทธจะไปทำงานในสามจังหวัดภาคใต้ ควรประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างไร ควรมีคุณธรรมอย่างไรบ้าง เป็นต้น (อ้างอิง : ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์)
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อ....
ผมเชื่อว่า ประเทศไทยน่าจะใช้โอกาสนี้ในเรียนรู้จากประเทศต่างๆที่มีพุทธศาสนาปรากฎในรัฐธรรมนูญ
คือ
เรียนรู้จากประเทศพม่า
ในด้านการกีดกันระบบทุนนิยม
เรียนรู้จากประเทศกัมพูชา
ในด้านการพัฒนาประเทศภายใต้การคลอบงำของวัฒนธรรม
เรียนรู้จากประเทศปากีสถาน
ในด้านการปรับตัวเข้ากับสังคม
เรียนรู้จากประเทศภูฎาน
ในด้านการสร้างดัชนีวัดความสุข
ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนมีพุทธศาสนาอยู่ภายในรัฐธรรมนูญอย่างเต็มรูปแบบ
แต่สิ่งที่คนไทยได้เปรียบคนประเทศเหล่านี้คืออะไรรู้ไหมครับ ในทรรศนส่วนตัวของผมก็คือคำตอบเดียวกับที่
เลดีกาก๊าๆ ทันทีที่เธอแตะเท้าถึงผืนแผ่นดินประเทศไทย สิ่งที่เธออยากได้ของฝากจากเมืองไทยคือ
“นาฬิกาโลเล็กซ์” ปลอมสวยๆ ซักเรือน...
อุ๊บ๊ะ..เลดีกาก๊า....นี่ถ้าไม่ติดคำหยาบคายซะหน่อยเธอจะต้องถูกคนไทยจ๋า..เรียก
“เลดีอีบ้...” ไปแล้วแทนที่จะเรียกเลดีกาก๊า....555
จากเหตุการณ์ดังกล่าว สื่อออนไลน์คนไทยด่ากันระงม
สำหรับผมแล้วกลับไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ ผมกลับมองว่า
เลดีกาก๊า..เธอมองเห็นสิ่งที่เรามีสิ่งที่เราเป็น
แน่นอนสำหรับเธอมันคือการละเมิดลิขสิทธิ์ แต่สำหรับผม(อุดม ตะหน่อง)
มันคืนคนไทยแท้ที่มีความสามารถไม่แพ้ต่างชาติมากกว่าประเทศอื่นๆ
นั่นก็คือรู้จักพลิกแพลง ดัดแปลง ก๊อปปี้ หรือพูดให้ดูดีหน่อยก็เรียกว่า “ประยุกต์”
เก่งและฉลาดในเรื่อง Apply ไม่ได้ไบรท์ทางด้าน Research ไม่งั้นคนไทยจะมีนิทานปรัมปราสอนลูกสอนหลานตั้งแต่บรรพบุรุษเรื่องศรีธญชัยทำไมกัน....นัยสำคัญ
: ปราญช์โบราณเค้าไม่ได้สอนลูกหลานให้เป็นคนขี้โกง..เหมือนปัจจุบัน เค้าไม่ได้สอนให้ลูกหลานฉลาดก๊อปปี้
CD เถื่อน เค้าไม่ได้สอนให้ลูกหลานยอมแมวนาฬิกาโรเล็กซ์ปลอม วางขายตามทางเท้าแถวตลาดคลองถม
มัดไว้เป็นพวงๆเสมือนหนึ่ง “เนื้อแดดเดียว”
ทีเดียวเชียว เขาสอนให้ลูกหลานรู้จักใช้ปฎิภาณไหวพริบให้รู้จักใช้กุศโลบายในการปรับตัวต่างหากเล่า......
คนรุ่นใหม่
........เรามาช่วยกันสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศแรกที่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
เป็นแบบอย่างให้ประเทศชาวพุทธทั่วโลกได้เห็นว่า ระบบทุนนิยมพัฒนาควบคู่ไปพร้อมกับพัฒนาระบบจิตวิญญาณแบบพุทธเข้ามาใช้ในการทำงาน
การบริหารงาน ได้อย่างลงตัวและเจริญทั้ง 2 ด้านพร้อมกัน (วัตถุและจิตใจ) ยิ่งประเทศไทยตอนนี้เป็นศูนย์กลางพุทศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกแล้ว
เราชาวไทยควรใช้โอกาสและสร้างบรรทัดฐานในการนำหลักธรรมทางพุทธศาสนามาพัฒนาจิตใจควบคู่ไปด้วยกันอย่างเป็นรูปธรรม
....ผมเชื่อว่าไม่ยากเลยและประเทศไทยจะเป็นประเทศหนึ่งที่ชาวโลกทั้งผองยกย่อง
เพราะสามารถใช้วัดดัชนีความสุข(จิตวิญญาณ)ได้อย่างเต็มเปี่ยมบนความเจริญเติบโตอย่างไร้พรมแดน(วัตถุนิยม)
ที่ประเทศภูฎานอาจต้องเดินตามแบบ(สิ่งดีๆ)ประเทศไทยในอนาคตเลยก็ว่าได้ ท้ายที่สุดแล้วการพัฒนาประเทศนั้น
ควรใช้หลักสัมมาอาชีวะตามหลัก มัชฌิมาปฏิปทา (ทางสายกลาง) ในทางพุทธศาสนาดีกว่า
ส่วนจะเป็นอย่างไรตอนหน้าเรามาว่ากันดีกว่า..เน๊าะ
สุดท้าย....
เราจะสร้างพระพุทธรูป
เราจะสร้างพระปฏิมายิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่หากไร้ซึ่งคนกราบไหว้บูชาและเวียนเทียนรำลึกถึงพระพุทธคุณ
พระธรรมคุณและพระสังฆคุณในวันสำคัญทางพุทธศาสนาแล้วไซร้ จะมีประโยชน์อะไรเล่า
คงไม่ต่างไปจาก....................................
(ต่อตอนที่ 2 ตอนจบ
มาดูผลคะแนนทดสอบก่อนเรียนในส่วนของอาจารย์กันนะครับ...น้องๆๆๆๆ)
อุดม ตะหน่อง
พธ.บ. : พุทธศาสตร์การสอนสังคม มจร.
ศศ.ม. : พุทธศาสนศึกษา มธ.
ขอบคุณค่ะ อาจารย์เขียนได้ดีมาก รู้สึกซาบซึ้งมากเลยค่ะ
ตอบลบลืมเรื่องนี้ไปเลย..นะ (วันที่ 24 ต.ค. 63 เวลา 19.30 - 22.30 น. ) มีเสวนาเรื่องพุทธศาสนานะครับ https://www.facebook.com/PhiangThawan/ ติดตามให้ด้วยนาครับ
ลบอาจารย์เองก็เร่งให้คลอบคลุมในสิ่งที่พวกเราจะรู้และสามารถสอบได้ ยังไงถ้าสิ่งที่เขียนไม่ตรงกับสิ่งที่ออกข้อสอบก็ไม่ว่ากันนะ...อิอิอิ ขอบใจน้องๆที่เม้นมา...(มีคนเม้นแล้วว๊อย)ดีใจจัง
ตอบลบขอบคุณค่ะอาจารย์ อาจารย์เขียนสนุกดีค่ะ อ่านแล้วอยากกินลาบเป็ดยโสธรเลย(ยังไม่เคยกินเลยค่ะ)
ตอบลบขอให้หนูๆ มาฟังในวันที่ 24 ต.ค. 63 เวลา 19.30 - 22.30 น. ) มีเสวนาเรื่องพุทธศาสนานะครับ https://www.facebook.com/PhiangThawan/ ติดตามให้อาจารย์ด้วยนาครับ
ลบ5555
ตอบลบแต่มีข้อแม้นิดนึงนะถ้าจะกินลาบเป็ดยโสธร ห้ามน้องๆกินก่อนสอบวิชาพระพุทธศาสนาฯ ไม่ใช่ว่าชาติหน้าจะเป็นเป็ดหรอกนะ...มันจะทำให้ง่วงนอนแค่นั่นเอง.....ห้าห้าห้า
โหเห็นตอนแรกเป็นบทความยาวจัง แต่อาจารย์เขียนแล้วอ่านสนุกมาก หนูจะตั้งใจสอบวิชานี้ให้เต็มที่ค่ะ
ตอบลบลืมเรื่องนี้ไปเลย..นะ (วันที่ 24 ต.ค. 63 เวลา 19.30 - 22.30 น. ) มีเสวนาเรื่องพุทธศาสนานะครับ https://www.facebook.com/PhiangThawan/ ติดตามให้ด้วยนาครับ
ลบอาจารย์เขียนได้สนุกมากๆเลยคะ
ตอบลบอ่านแล้วไม่เบื่อเลย แถมได้ความรู้ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากอาจารย์มากคะ ^^
มาๆ มาฟังด่วนนะครับ อีกหนึ่งหนึ่งประเด็นใหม่ในสังคม มาฟังในวันที่ 24 ต.ค. 63 เวลา 19.30 - 22.30 น. ) มีเสวนาเรื่องพุทธศาสนานะครับ https://www.facebook.com/PhiangThawan/ ติดตามให้ด้วยนาครับ
ลบอาจารย์ค้ะ คืองานหนูยังไม่ครบค่ะ คือจะขอใบงานได้ที่ไหนค้ะ
ตอบลบ