ระบบจริยธรรมชาวพุทธ


ระบบจริยธรรมชาวพุทธ 




สำหรับหลักจริยธรรมในพระพุทธศาสนา เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หมายถึง ข้อปฏิบัติ วิธีการ หรือทางดำเนินชีวิตที่เป็นกลาง ๆ ตามธรรมชาติ สอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่เอียงเข้าหาที่สุดสองข้างที่ทำให้พัวพันอยู่หรือเฉไฉออกไปนอกทาง ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง หลักมัชฌิมาปฏิปทา หรือที่เรียกง่าย ๆ ทางสายกลางนี้ อาศัยหลักสัจธรรมซึ่งเป็น มัชเฌนธรรมเทศนา (ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เป็นกลาง ๆ ตามธรรมชาติ) ในที่นี้หมายถึง ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่ กระบวนธรรมแห่งการเกิดขึ้นพร้อมโดยอาศัยกันและกันของสิ่งทั้งหลาย หรือความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลในธรรมชาติ เป็นพื้นฐาน (พระธรรมปิฎก ๒๕๓๘ก: ๕๖๙-๕๗๐) จริยธรรมเป็นระบบแห่งการปฏิบัติที่สร้างขึ้น หรือประยุกต์ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติมาสู่การปฏิบัติ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือ การหลุดพ้นจากทุกข์ ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากมนุษย์ไม่เข้าใจธรรมชาติ (สัจธรรม) ก่อนแล้วจึงวางหลักปฏิบัติ (จริยธรรม) ให้สอดคล้องกับหลักสัจธรรมนั้น โดยนัยนี้ สัจธรรมเป็นฐานรากของจริยธรรม จุดเชื่อมต่อระหว่างสัจธรรมและจริยธรรมก็คือความรู้หรือปัญญาความสามารถของมนุษย์ เมื่อมนุษย์พัฒนาความรู้จนสามารถเข้าใจสัจธรรมได้ก็จะสามารถวางระบบจริยธรรมได้อย่างถูกต้องและมีผลตามมุ่งหมาย ข้อนี้อาจจะหมายความด้วยว่า ถ้าเรารู้แจ้งการทำงานของกฎแห่งกรรมในฐานะกฎธรรมชาติและกฎทางศีลธรรม เราย่อมวางแนวคิดเรื่องความยุติธรรมหรือความเป็นธรรมทางสังคมที่ชัดเจนบนฐานแห่งกฎศีลธรรมอันเป็นสากลได้ แต่ในการอ้างเหตุผลเพื่อพิสูจน์ว่ากรณีใดเป็นธรรมหรือไม่ ในทางสังคมการเมือง เราไม่อาจอ้างเหตุผลที่วางอยู่บนข้อจำกัดทางญาณวิทยาเช่นนั้น แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า จริยธรรมทางพระพุทธศาสนาไม่ได้วางอยู่บนหลักคำสอนเรื่องกรรม โดยแท้จริงแล้ว กฎธรรมชาติกับแบบแผนทางจริยธรรมของพระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกัน
หลักมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๘ นั้น แบ่งออกเป็น ๓ หมวดตามระบบไตรสิกขา ดังนี้
๑.หมวดปัญญา เกี่ยวข้องกับการอบรมปัญญาเพื่อเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง หรือเกิดความรู้แจ้ง ได้แก่  สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ)
๒.หมวดศีล เกี่ยวข้องกับข้อปฏิบัติสำหรับอบรมกาย วาจา ได้แก่ สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) สัมมากัมมันตะ (การงานชอบ) สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)
๓.หมวดสมาธิ เกี่ยวข้องกับการฝึกอบรมจิตใจ การปลูกฝังคุณธรรม  การสร้างเสริมคุณภาพจิต ได้แก่ สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ) สัมมาสติ (ระลึกชอบ) สัมมาสมาธิ (จิตมั่นชอบ) (พระธรรมปิฎก ๒๕๓๘ก: ๖๐๑-๖๐๔)
พระธรรมปิฎกอธิบายว่า สาระสำคัญของไตรสิกขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) แสดงตัวออกมาไม่เฉพาะที่การปฏิบัติของตัวบุคคลเท่านั้น แต่ส่องถึงภารกิจที่มนุษย์จะต้องทำในระดับชุมชนสังคมด้วย กล่าวคือ การจัดวางระบบแบบแผน จัดตั้งสถาบันและกิจการต่าง ๆ จัดแจงกิจกรรมและวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้สาระของไตรสิกขาเป็นไปในหมู่มนุษย์ หรือให้มนุษย์ดำรงอยู่ในสาระของไตรสิกขา โดยนัยนี้ ศีล (อธิสีลสิกขา) จึงกินความถึงการจัดสรรสภาพแวดล้อมทางวัตถุและสังคมที่ปิดกั้นการกระทำชั่ว และส่งเสริมโอกาสในการทำความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดระเบียบและระบบสังคม โดยจัดวางหลักเกณฑ์ กฎข้อบังคับ บทบัญญัติต่าง ๆ เพื่อควบคุมความประพฤติของบุคคล จัดกิจการของส่วนรวม ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันด้วยดี  เรียกรวม ๆ ว่าเป็นการสร้าง วินัย นั่นเอง ส่วนสมาธิ (อธิจิตตสิกขา) ระดับสูงสุด หมายถึงวิธีบำเพ็ญกรรมฐานแบบต่าง ๆ แต่เมื่อมองอย่างกว้าง ๆ ในครอบคลุมทุกระดับ กินความถึงวิธีการและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะช่วยชักจูงจิตใจคนในสังคมให้สงบ ให้มีจิตใจยึดมั่นและมั่นคงในคุณธรรม เร้าใจให้ฝักใฝ่และมีวิริยะอุตสาหะในการสร้างความดีงามยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตลอดจนอุบายต่าง ๆ ในการสร้างเสริมคุณภาพจิตของคน ส่วนปัญญา (อธิปัญญาสิกขา) โดยเคร่งครัด หมายถึงวิปัสสนาภาวนา แต่เมื่อมองให้กว้างตามสาระและจุดมุ่งหมาย ได้แก่ กิจกรรมฝึกปรือความรู้ความคิดซึ่งเรียกว่าการศึกษาเล่าเรียนทั้งหมด ซึ่งต้องอาศัยกัลยาณมิตร มาช่วยถ่ายทอดความรู้และความจัดเจนด้านต่าง ๆ ทั้งแนะนำให้สามารถในการไตร่ตรองด้วยตนเองได้ เพื่อจะได้รู้จักมองโลกและชีวิตอย่างรู้เท่าทันความจริง ที่จะช่วยให้วางท่าทีความสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายได้อย่างถูกต้อง (อ้างแล้ว, ๖๐๔-๖๐๖) หลักมัชฌิมาปฏิปทา หรือหลักทางสายกลางที่เป็นระบบจริยธรรมของพระพุทธศาสนาตามนัยนี้จึงครอบคลุมเรื่องส่วนบุคคลและสังคมมนุษย์
ระบบจริยธรรมทั้งหมดที่พระพุทธศาสนาวางไว้นี้ก็เพื่อจุดหมายหรือประโยชน์ (อรรถ /อัตถะ) สำคัญของชีวิตนั่นเอง จุดมุ่งหมายหรือประโยชน์ของชีวิตตามคำสอนของพระพุทธศาสนามี ๓ ประการคือ
๑. ทิฏฐธัมมิกัตถะ ประโยชน์ในชีวิตนี้หรือประโยชน์ปัจจุบัน เป็นจุดมุ่งหมายขึ้นต้นหรือประโยชน์เฉพาะ ข้อนี้เกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์ทางสังคมหรือชีวิตประจำวัน (โลกธรรม) ได้แก่ ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ หรือทรัพย์สิน ฐานะ เกียรติ ไมตรี หรือชีวิตคู่ครองที่เป็นสุข เป็นต้น  รวมถึงการแสวงหาสิ่งเหล่านี้ในวิถีทางที่ถูกต้องชอบธรรม การปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้อย่างถูกต้อง การใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อทำตนและคนเกี่ยวข้องให้มีความสุข การอยู่ร่วมกันด้วยดี ปฏิบัติหน้าที่ต่อกันอย่างถูกต้องในระหว่างมนุษย์ด้วยกันเพื่อความสุขร่วมกัน
๒. สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ข้างหน้า หรือประโยชน์ที่ล้ำลึกยิ่งกว่าประโยชน์เฉพาะหน้าหรือผิวเผินภายนอก เกี่ยวกับด้วยชีวิตด้านใน หรือประโยชน์ด้านคุณค่าของชีวิต เป็นจุดมุ่งหมายที่สูงขึ้นไปเป็นหลักประกันชีวิตเมื่อละโลกไป หรือเป็นเครื่องประกันการได้คุณค่าที่สูงล้ำกว่าสิ่งที่จะพึงได้ตามปกติในชีวิตนี้ ได้แก่ ความเจริญงอกงามแห่งชีวิตจิตใจ ที่ก้าวหน้าเติบโตด้วยคุณธรรม ความใฝ่ใจในทางศีลธรรม การสร้างกุศลหรือสิ่งที่ดีงาม เป็นประโยชน์ด้านที่ผ่อนคลายความยึดติดในวัตถุหันมาให้คุณค่าแก่คุณธรรมดีงาม รู้จักทำการด้วยความใฝ่ธรรม รักความดีงาม รักคุณภาพชีวิตและความเจริญงอกงามทางจิตใจ
๓.  ปรมัตถะ ประโยชน์อย่างยิ่งยวด หรือประโยชน์ที่เป็นสาระแท้จริงของชีวิต เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดหรือจุดมุ่งหมายสุดท้ายของชีวิต ได้แก่ การรู้แจ้งสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง รู้เท่าทันคติธรรมดาของสังขารธรรม ไม่ตกเป็นทาสของโลกและชีวิต มีจิตใจโปร่งใสอิสระ ไม่ถูกบีบคั้นขัดข้องจำกัดด้วยความยึดมั่นหวาดหวั่นของตนเอง ปราศจากกิเลสที่ทำให้เศร้าหมองขุ่นมัว อยู่อย่างไร้ทุกข์ ประจักษ์แจ้งความสุขที่ประณีตภายใน สะอาดบริสุทธิ์สิ้นเชิง ประกอบด้วยความสงบเยือกเย็น สว่างไสวเบิกบานโดยสมบูรณ์เรียกว่า วิมุตติ หรือนิพพาน (อ้างแล้ว,  ๕๙๔-๕๙๕)
ประโยชน์หรือจุดมุ่งหมายทั้ง ๓ ระดับนี้ล้วนมีความสำคัญในระบบจริยธรรมของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงยอมรับความสำคัญของประโยชน์ทุกระดับ โดยสัมพันธ์กับเป้าหมายความเป็นอยู่ การครองชีวิต สภาพแวดล้อม และความพร้อมของแต่ละบุคคล และตามทัศนะของพระพุทธศาสนา บุคคลควรจะดำเนินชีวิตให้บรรลุจุดมุ่งหมายอย่างน้อยถึงขั้นที่ ๒ ชีวิตที่ดีในพระพุทธศาสนาไม่ใช่ชีวิตที่เพียบพร้อมด้วยผลประโยชน์ทางด้านวัตถุเพียงอย่างเดียว หากรวมถึงชีวิตที่เชื่อในสิ่งที่ดีงาม มีสิ่งดีงามยึดเหนี่ยวจิตใจ (ศรัทธาสัมปทา) มีระเบียบวินัยตามสมควรแก่การดำเนินชีวิต (ศีลสัมปทา) รู้จักแบ่งปันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (จาคสัมปทา) และชีวิตที่มีวิจารณญาณ ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา รู้เท่าทันโลกและชีวิต  (ปัญญาสัมปทา) (อ้างแล้ว, ๕๙๕-๕๙๖) จากแง่มุมนี้ พระพุทธศาสนาคำนึงถึงประโยชน์ที่มนุษย์จะพึงได้รับไม่เพียงแต่เป็นประโยชน์ด้านโภคทรัพย์หรือวัตถุเท่านั้น หากยังรวมถึงประโยชน์ด้านจิตใจหรือคุณภาพชีวิตด้านอื่น ๆ รวมทั้งโอกาสที่มนุษย์จะได้พัฒนาตนเองสู่เป้าหมายสูงสุดของชีวิต ซึ่งเป็นประโยชน์หรือจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดในระบบจริยธรรมของพระพุทธศาสนา 
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมด้วย เพราะปัญหาเรื่องความเป็นธรรมเกี่ยวข้องกับการดำรงสัมพันธภาพอันเที่ยงธรรมและมีศานติสุข เมื่อความขัดแย้งเกิดขึ้นเราจะดำรงไว้ซึ่งสันติได้อย่างไร  เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ มนุษย์จะดำเนินชีวิตไปอย่างไร ซึ่งก็จะเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่ามนุษย์จะสัมพันธ์กับคนอื่นด้วยวิธีใดด้วย คำถามที่ว่าราควรจะดำเนินชีวิตอย่างไรและจะสัมพันธ์กับคนอื่นอย่างไรนั้นเป็นประเด็นสำคัญในจริยศาสตร์ การประเมินค่าความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็สัมพันธ์กับจุดมุ่งหมายหรือประโยชน์ของชีวิตและสังคม การจัดหลักมัชฌิมาปฏิปทา (อริยมรรค) เป็น ๓ หมวดดังกล่าวนี้ชี้ให้เห็นลักษณะสำคัญของระบบจริยธรรมในพระพุทธศาสนา กล่าวคือ พระพุทธศาสนาจัดวางระบบจริยธรรมครอบคลุมกับองค์ประกอบของชีวิตทั้ง ๓ ด้าน ได้แก่ พฤติกรรมทางกายวาจา (ศีล) สภาพจิตใจ (สมาธิ) และความรู้ (ปัญญา) ซึ่งครอบคลุมองค์ประกอบของการกระทำทางศีลธรรม (กรรม) คือ ความรู้ (ทิฏฐิ) เจตนา (ความริเริ่ม)และการกระทำหรือพฤติกรรมที่แสดงออก เนื่องจากการจัดวางระบบจริยธรรมมีจุดมุ่งหมายคือปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลดี (ประโยชน์ทั้ง ๓ ระดับ) ดังกล่าวมานั้น ในด้านหนึ่ง ระบบจริยธรรมจึงต้องถูกจัดวางไว้ในเงื่อนไข (สาเหตุ) ที่จะส่งผล (วิบาก) ในทางที่คาดหวังว่าจะทำให้เกิดผลดีแก่ผู้ปฏิบัติ กล่าวคือ ต้องเป็นสัมมาปฏิปทา (การปฏิบัติที่ถูกต้อง) มิใช่ มิจฉาปฏิปทา (การปฏิบัติที่ผิด) การปฏิบัติที่ถูกต้องเริ่มจากด้านในคือด้วยความเห็นและการดำริที่ชอบ อีกด้านหนึ่งก็จัดวางระบบจริยธรรมส่วนวินัยหรือศีล อันเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลร้ายแก่ชีวิตและสังคม นี่คือหลัก ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใส นั่นเอง  
ถ้าพิจารณาระบบจริยธรรมในพระพุทธศาสนา โดยถือเอาหลักปฏิจจสมุปบาทและหลักกรรมเป็นฐาน สาระที่พระพุทธศาสนานำมาจัดวางเป็นระบบจริยธรรมโดยถือว่าเป็นส่วนที่ควรปฏิบัติได้แก่ ส่วนที่สอดคล้องกับปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร (ฝ่ายดับ) และสอดคล้องกับกฎแห่งกรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ด้วยเหตุว่าการกระทำดังกล่าวนั้นจะช่วยให้บุคคลบรรลุถึงความสุขหรือประโยชน์ที่สำคัญสำหรับชีวิต นี่คือส่วนที่ควรถือปฏิบัติ ส่วนที่เป็นกระบวนธรรมตามธรรมชาติฝ่ายสมุทยวาร (ฝ่ายเกิด/ทุกข์) และกฎแห่งกรรมฝ่ายอกุศลนั้น จะนำมาเป็นข้อกำหนดห้ามในพระวินัยหรือศีล โดยถือว่าเป็นข้อที่ไม่ควรละเมิดหรือไม่ควรทำเพราะจะนำไปสู่ทุกข์ ระบบจริยธรรมของมนุษย์ต้องสัมพันธ์กับเกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์และเป้าหมายของชีวิต ขณะเดียวกันสอดคล้องกับกฎธรรมชาติและกฎแห่งกรรมที่เป็นพื้นฐานของชีวิต ปัจจัยหลักสองอย่างนี้จะขาดเสียมิได้1


ระบบจริยธรรมแบบครบวงจร2

           ระบบจริยธรรมต้องมีความสัมพันธ์กับข้ออื่นๆส่งต่อเป้าหมายเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์เป็นทอดๆ เสมอกันไป ดังนั้นจริยธรรมทุกข้อต้องมีเป้าหมายตามจุดมุ่งหมายนั้น ว่าเพื่ออะไร เพื่อผลอะไร ในที่นี้จะพูดถึงด้านความสัมพันธ์
                จริยธรรมนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวจนบางครั้งถ้าไม่มากระทบกับตัวเอง ก็ไม่รับรู้สึกสัมผัสอะไร  จึงเห็นได้ว่าคนเราต้องมีเรื่องกับตัวเองซะก่อน..ว่างั้น   จึงจะหันมาสนใจก็พอสรุปมูลเหตุที่มนุษย์เราจะให้ความสนใจจริยธรรม ๒ ประการ ตามนัยท่านอาจารย์เจ้าคุณพระธรรปิฏว่า
                  ๑. เรื่องๆนั้นมันมากระทบตนเองอย่างรุนแรง 
                  ๒. เรื่องๆ นั้นมันแปลกประหลาดผิดวิสัยที่มันควรจะเป็น 
                  ปัญหาจริยธรรม จึงกลายเป็นปัญหาที่คนที่มาแก้ไขให้เกิดขึ้นในสังคมต้องเป็นประเภท รวดเร็ว ว่องไว ใส่ใจ และให้เห็นผล เพราะปัญหามันไปเร็วมาก เพราะถ้ามัวแต่เชื่องช้า..สังคมก็จะห่างจากระบบจริยธรรมออกไปเรื่อยๆ หากเราต้องการสร้างสังคมใน "อุดมคติ" ขึ้นมา เราต้องรีบมาช่วยกันครับ เพราะสังคมปัจจุบันนี้ จากปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นรุมเร้าประเทศไทย ทั้งทางด้านสังคม และการเมือง มันคงจะพอเดาได้ไม่ยากว่าเป็น "สังคมอันไม่พึงประสงค์" ซะแล้ว.....
                 พระธรรมปฏิกได้กล่าวถึง จริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของคนในชาติ การแสดงออกโดยเสรีก็ต้องสัมพันธ์กับการรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นไปด้วย ต้องมี "แกน" ที่ชัดเจนก่อน เช่น เราต้องการแสวงหาปัญญา มองหาความถูกต้อง เหตุผลก็ต้องคู่กับความรู้จริง สังคมใดก็ตามที่มีการแสดงออกโดยเสรีอย่างเคร่งครัดควบคู่ไปกับการยอมรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน จะเป็นประเทศที่มีระเบียบวินัยและเรียบร้อยมาก ยกตัวอย่างเด่นๆ เช่น อเมริกา และประเทศญี่ปุ่น (จากภาพสื่อข่าวสารต่างๆ เราจะเห็นความเป็นระเบียบวินัยของ๒ประเทศนี้เด่นชัดมาก)



แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า