"ชีวิตครอบครัว" ตามแนวทางพุทธศาสนา (ตอนที่ ๒)


          จากความตอนที่ ๑ ว่าด้วย "ชีวิตครอบครัว" ตามแนวทางพุทธศาสนา ได้พูดถึง หล้กการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน ด้วยหลักธรรมที่เหมาะสมไป ๑ หัวข้อ ในตอนที่ ๒ ขอเพิ่มอีก ๑ หัวข้อเพื่อเป็นยาชูกำลังใจให้เราต่อสู้กับชีวิตที่จะต้องเผชิญต่อไป
         หลักทิศ ๖ 
    หลักธรรมที่สัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของมนุษย์อีกข้อหนึ่ ที่ในชีวิตมนุษย์คนๆหนึ่งต้องให้ความสำคัญในฐานะที่เราเป็นพุทธแท้...นั้นก็ คือหลักของการเคารพรักและนับถือคือผู้ที่ควรบูชา "ทิศ ๖" ถ้าถามพวกวัยรุ่นที่คลั่งกระแสดาราไทยว่าทิศใหญๆ ในปัจจุบันที่เราควรใส่ใจและเอาเป็นเยี่ยงอย่างมีทิศอะไรบ้าง เห็นทีคงจะตอบประเภท " ๑ทิดวิลลี่ ๒ ทิดบี้เดอะสตาร์ ๓ทิดศิวัฒน์(ซี) ๔ ทิดโตโน่ "..โอ้ๆๆๆ..อันหลังยังไม่แน่ใจนะครับ ต้องให้พี่บอยเคลียประเด็นน้องผลไม้ที่มีอักษรย่อด้วยพยัญชนะต.เต่าก่อน... อิอิ...เอาหละครับเหย้าเล่นคงไม่ว่ากัน ..นี่ยังไม่ต้องพูดถึงทิดเจสันยังกระมัง..ก็แค่อยากจะบอกว่าวัยรุ่นไทยสมัย นี้ยังพอมีอยู่บ้างที่เกาะกระแสดาราไทยและเอาเป็นเยี่ยงอย่างในทางที่ดี "ย้ำ" ในทางที่ดีที่เรียกว่า"Idol"..ไม่ใช่เฉพาะเกาหลีเสียทั้งหมด เลยทำให้ผู้เขียนเองก็พยายามทำตัวให้เนียนเกาหลีไปด้วย...แต่ตอนนี้ไม่มีตังคงได้แต่เกาหลังไปก่อน
        เอาหละครับ...กระผมขอน้อมนำเอาคำสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า บทที่ว่าด้วยการให้ความเคารพนับถือผู้ที่ควรกราบไหว้บูชา..มากล่าวนำก่อนตาม ที่ปรกฏในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค ด้งนี้
           สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน เขตกรุงราชคฤห์ สมัยนั้น สิงคาลกะ คหบดีบุตร ลุกขึ้นแต่เช้า ออกจากกรุงราชคฤห์ มีผ้าเปียก มีผมเปียก ประคองอัญชลีไหว้ทิศทั้งหลาย คือ ทิศเบื้องหน้า(ทิศตะวันออก) ทิศเบื้องขวา(ทิศใต้) ทิศเบื้องหลัง(ทิศตะวันตก) ทิศเบื้องซ้าย(ทิศเหนือ) ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน
        ครั้นในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์เพื่อบิณฑบาต ได้ทอดพระเนตรเห็นสิงคาลกะ คหบดีบุตร ประคองอัญชลีไหว้ทิศทั้งหลายอยู่จึงตรัสว่า
          พระผู้มีพระภาค : ทำเช่นนี้เพราะเหตุไร 
          สิงคาลกะ : บิดากล่าวไว้ก่อนจะตายว่า 'นี่แน่ะลูก เจ้าพึงไหว้ทิศทั้งหลาย' 
          พระผู้มีพระภาค : “คหบดีบุตร ในอริยวินัย(ธรรมเนียมแบบแผนของพระอริยะ) เขาไม่ไหว้ทิศ ๖
                               กันอย่างนี้นะ”
          สิงคาลกะ : ทูลถามว่าไหว้อย่างไร 
        พระผู้มีพระภาค : “คหบดีบุตร อริยสาวกละกรรมกิเลส(กรรมเครื่องเศร้าหมอง) ๔ ประการ
uได้แล้ว ไม่ทำบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการ
v และไม่ข้องแวะอบายมุข(ทางเสื่อม) ๖ ประการ
w
แห่งโภคะทั้งหลาย อริยสาวกนั้นเป็นผู้ปราศจากบาปกรรม ๑๔ ประการนี้แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้ปิดป้องทิศ ๖ ปฏิบัติเพื่อครองโลกทั้งสอง ทำให้เกิดความยินดีทั้งโลกนี้และโลกหน้า หลังจากตายแล้ว ย่อมไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์”
                  จากที่พระพุทธองค์ได้ตรัสกับสิงคาลกพราหมณ์..พระองค์ก็ได้แสดงธรรมเรื่องทิศ ที่ถูกต้องตามนัยทางพุทธศาสนาโดยขยายความให้เห็นชัดเจนดังนี้
         กรรมกิเลส ๔ ประการที่อริยสาวกละได้แล้ว
         คือ ๑.ปาณาติบาต ๒.อทินนาทาน ๓.กาเมสุมิจฉาจาร ๔.มุสาวาท
         การทำกรรมกิเลส บัณฑิตทั้งหลายไม่สรรเสริญ อริยสาวก"ไม่ทำบาปกรรมโดยเหตุ ๔ ประการ" คือ ๑.ฉันทาคติ (ลำเอียงเพราะรัก) ๒.โทสาคติ (ลำเอียงเพราะชัง) ๓.โมหาคติ (ลำเอียงเพราะเขลา) ๔.ภยาคติ (ลำเอียงเพราะกลัว) บุคคลใดละเมิดความชอบธรรม ยศของบุคคลนั้นย่อมเสื่อม บุคคลใดไม่ละเมิดความชอบธรรม ยศของบุคคลนั้นย่อมเจริญเหมือนดวงจันทร์ข้างขึ้น ฉะนั้น......
            ในข้อนี้ ผู้เขียนขอยกนิทานมาประกอบให้ท่านทั้งหลายได้รู้แจ้งชัดขึ้นว่า ทำไม"กรรมกิเลส ๔" อริยสาวกต้องละให้ได้เพราะมันคือปากแห่งความเสื่อม ยกตัวอย่างเช่นการพูดมุสา การพูดคำหยาบคาย การพูดจาไม่เป็นประโยชน์ (มงคล) ล้วนส่งผลเสียให้เกิดขึ้นกับตนเองและพวกพ้องได้อย่างมากมาย เอ้าลองอ่านตัวอย่างดูกันก็แล้วกันนะจ๊ะ.....
           นิทานเรื่องสรุปแว้ : คนพูดจาดี..พูดจาไพเราะ (ผู้ชายอบอุ่น หรือผู้หญิงแสนหวานก็ตามแต่) ใครๆอยู่ใกล้ก็มีความสุข ได้เห็น ได้ฟังก็ชื่นใจ.....
      เอายี้(งี้)ครับ ผมยกตัวอย่างนิทานเรื่องคุณนายยิ่ง..จะยิ่งอะไรก็ตามเถอะ..เอาว่าเป็นว่า ชื่อคุณนาย"ยิ่ง..."ก็แล้วกัน ท่านเป็นผู้ดีมีฐานะคนหนึ่งในสังคมอันหลอกลวง แต่คุณนายจะมีข้อเสียคือชอบพูดคำไม่สุภาพเคยตัเป็น นิสัย จนกลายเป็นสันดานไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันคุณนายเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาถึงแม้พูดจาไม่ไเพราะสังเกตุ ได้จาก คุณนายจะชอบเลี้ยงสัตว์ ประเภทหมาแมวนกพวกนี้"ช๊อบๆ" คุณนายก็จะมีนกขุนทองช่างประจบอยู่ตัวหนึ่งที่คุณนายเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆแบ เบาะ จนวันหนึ่งนกขุนทองพูดประโยคที่คุณนายยิ่งไม่สามารถที่จะรับได้อีกเลย คือ....
       "คุณนาย สมควรตาย...คุณนายสมควรตาย คุณนายสมควรตาย" 
        และไอ้เจ้านกขุนทองก็พูดอยู่อย่างนี้ทุกวี่ทุกวันในเวลาต่อมา
        "ว๊าย..ไอ้นกบ้า..ขืนเองพูดอีกฉันจะจับแกต้มซะให้สุกเลย" 
        "คุณนายสมควรตาย..คุณนายสมควรตาย"  มันพูดแบบไม่กลัวถูกต้มเอาซะเลย...
        นับวันคุณนายยิ่งก็ยิ่งอดรนทนไม่ไหวต้องหาวิธีให้มันพูดคำ"อันเป็นมงคล" ซะบ้าง คงไม่มีที่ไหนอีกแล้วนอกจากจะไปปรึกษาหลวงพ่อที่วัด.................
      คุณนายจึงได้เดินทางไปที่วัดเพื่อปรึกษาหลวงพ่อเกี่ยวกับนกขุนทองที่มี กรรม(ติดปาก..ขืนพูดปากโดนเต๊ะปากแตก)...ด้วยความที่หลวงพ่อก็เลี้ยงนกไว้ใน วัดเยอะเหมือนกัน...จึงแนะนำให้คุณนายยิ่งเอานกตัวที่หลวงพ่อเลี้ยงไว้เอง กับมือไปเลี้ยงคู่กัน เพราะว่านกที่หลวงพ่อเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ..มันไม่เคยพูดคำที่ไม่เป็นมงคล เลย จึงเชื่อว่ามันจะสั่งสอนเจ้าขุนทองที่บ้านของคุณนายได้เป็นอย่างดี .......
       และหลังจากนั้นคุณนายยิ่งก็รับนกขุนทองจากหลวงพ่อกลับมาที่บ้านและมาเลี้ยง ไว้ในกรงเดียวกัน เช้าวันต่อมา....คุณนายเดินลงไปที่กรงนกด้วยอารมณ์เบิกบาน...เพราะคิดว่ามัน ต้องปรับปรุงตัว...แต่ก็ยังไม่วายที่จะได้ยินเสียงเจ้าขุนทองเจ้าเดิมพูด ประโยคเดิมๆ
       "คุณนายสมควรตาย คุณนายสมควรตาย คุณนายสมควรตาย"
      ในขณะที่เจ้าขุนทองน้องใหม่....ได้แต่เงียบและเอียงคอไปมาด้วยท่าทีอ่อนโยน
       "ต๊าย...นี่ขนาดเอาเจ้านกขุนทองที่พูดแต่คำที่เป็นมหามงคลมาไว้กับแกยังดัดสันดานแกไม่ได้เลยไอ้นกบ้า..นี่นับแต่วันนี้เป็นต้นไปอีก ๗ วัน ขืนแกยังพูดแบบนี้อีกฉันจะจับแกต้มน้ำร้อนซะสะเด็ดน้ำ..และฝังกลบซะให้เสร็จ..ฮึ"
         ในขณะที่เจ้านกมหามงคลก็ไม่ได้พูดจาอะไรได้แต่เอียงคอไปมาด้วยท่าทีโอน โยน..แล้วก็เงียบ เมื่อคุณนายพูดเสร็จด้วยความโมโห..แล้วก็บึ่งรถออกไปงานEventต่อที่ "สยามพารามอนด์" ที่ เรียก"มอนด์" ก็เพราะดูน่าร๊ากคิ๊กขุดี..เหมือนโดเรมอนด์เงี้ย...ส่วน "กอนด์" ดูแล้วน่ากลัว...ขออนุญาตเรียก"สยามพารามอนด์"แล้วกันนะ
        และอีก ๗ วันต่อมา...คุณนายยิ่งก็นึกขึ้นมาได้ว่า..ได้ให้สัทธสัญญาไว้กับเจ้าขุนทองปากไว คุณนายก็นึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจว่า
     "ปานนี้มันคงโดน..เจ้านกขุนทองมหามงคลจากหลวงพ่ออบรมไปแล้วกระมัง..หึหึ..ไปทวงสัญญากะมันซะหน่อย" 
     เมื่อคุณนายยิ่งเดินไปถึงกรงนกทั้งสองตัว ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดจาอะไรออกไป เจ้านกขุนทองจอมแสบก็ดั๊นพูดขึ้นก่อนด้วยประโยคเดิมๆว่า
     "คุณนายสมควรตาย...คุณนายสมควรตาย..คุณนายสมควรตาย" 
     และยังไม่ทันที่คุณนายจะด่าไอ้เจ้านกขุนทองจอมแสบเหมือนทุกครั้ง..เจ้านกมหามงคลก็พูด"คำอันเป็นมงคล"ขึ้นสวนทันทีว่า
      "สาธุ...สาธุ...สาธุ..." 
       และเจ้านกทั้งสองตัวก็พูดสลับกันใหญ่เลยทีนี้
     "คุณนายสมควรตาย...สาธุ...คุณนายสมควรตาย...สาธุ...คุณนายสมควรตาย..สาธุ
     55555
     และตั้งแต่วันนั้นมาคุณนายยิ่งก็เลิกเลี้ยงสัตว์ทุกประเภทและก็ไม่เคยมีใครเห็นเจ้านกขุนทองทั้ง ๒ ตัวอีกเลย.......
    (ผู้เขียนสันนิษฐานว่า คุณนายยิ่งสมควรตายจริงๆ แต่ที่ตายจริงๆ คงไม่ใช่คุณนายยิ่งกระมัง)

    จากเรื่องที่กล่าวมาน้องๆลองนึกดูว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดมาจากสาเหตุอะไร ลองคิดดูก่อนครับ สังคมไทยปัจจุบันก็จะประมาณนี้ ให้คิด ๒ ประเด็น..ติ๊กต๊อก.ติ๊กต๊อก...หมดเวลาครับ
     ...เอาเป็นว่าผมสรุปเลยแล้วกัน
    ประเด็นที่ ๑ : ต่อให้เป็นมหาอยู่ในวัด ๒๐ กว่าพรรษา...สึกออกมาไม่เคยพูดคำหยาบคายมาครึ่งชีวิต แต่พอเข้าสู่สังคมโลกภายนอก..แม้คำว่า "เอี้ย" ยังไม่เคยหลุดออกจากปาก แต่เมื่อมาเจอผู้คนที่มีความรุนแรงทางอารมณ์ที่หลากหลาย(ขึ้นๆลงๆฟูๆแฟบๆ) เจอผู้คนที่สังคมแวดล้อมหล่อหลอมเค้ามาไม่เท่ากัน เจอผู้คนที่ต่างจดจำเอาแต่สิ่งไม่ดีจากพ่อแม่ติดตัวมา(ไอ้ดีๆอะไม่เอา มา..เพราะในโลกนี้ไม่เคยมีแม่หรือพ่อคนใดเลยจะสร้างให้ลูกเป็นคนไม่ดี) จนต่อมา...ไอ้คำว่า "เอี้ย" ไหน๊..มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของริมฝีปากไปซะงั้น..(พร้อมที่จะหลุดออกไปได้ ง่ายกว่าพิกุลอีก) หลายต่อหลายครั้งเมื่อเราตั้งสติได้ทันเมื่อเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายมันก็ ไม่"หลุด"..แต่เมื่อใดก็ตามหากสติฟุ่งซ่านไม่ยอมหยุด.....มันก็"ฉุด"เอา ไว้ไม่ทัน สิ่งที่นิทานเรื่องนี้สอนเราให้รู้ว่า ต่อให้เราอยู่ใกล้ๆกับคนเลว สัมพันธ์กับคนเลว ในขณะที่เราเป็นกัลยาณมิตร ความเลวก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเราได้ อย่างนกขุนทองเค้าอยู่ร่วมกันกับเจ้าขุนทองปากร้าย ก็ใช่ว่าเค้าจะพูดคำไม่ดีออกไป "สาธุ" แปลได้ว่า"ดีหละ" หรือ"ดีแล้ว" เพราะ จะสังเกตุได้ว่านกขุนทองอุตตมมงคลจะฟังและพิจารณาอย่างรอบคอบและใช้สติควบคุมอารมณ์ได้ทุกครั้ง...จากประเด็นนี้ท่านเคยสงสัยไหมครับว่า "ทำไมธรรมชาติถึงสร้างมนุษย์ให้มีสมองอยู่เหนือหัวใจ" คำตอบที่อาจจะเป็นไปได้ตามทฤษฎีโมเม(นตั้ม)ของผมก็คือ "ธรรมชาติ..อาจต้องการให้มนุษย์ใช้สติมากกว่าความรู้สึกที่สัมผัสได้จากหัวใจ.."อิอิอิ...ว่าไปนั้น
           จากเดิมที่เราเคยคิดว่าสันดานเรา "สุก"แล้ว ได้รับการอบรมจากพ่อแม่ จึงได้สลัดผ้าอ้อมเผชิญหน้าสู่โลกกว้างต่อสู้ด้วยลำแข้งเพียงลำพัง  แต่....เมื่อเราต้องมาเจอผู้คนมากมายหลากหลายความรุนแรงทางอารมณ์ จนยากที่จะหลีกเลี่ยงประทะ สันดานเราที่เคยคิดว่า "สุก" บางครั้งมันทำให้เรากลับคิดไปว่า สันดานเราคงจะกลับไปเป็น "ดิบ" เหมือน ที่เรายังไม่ได้รับการอบรมใดๆ เลยกระมัง ...ท่านหารู้ไม่ว่า...นั่นคือความคิดที่ผิด เพราะแท้ที่จริงแล้วสันดานเราไม่สามารถกลับไปเป็นสันดาน"ดิบ"ได้เหมือนเดิมเหมือนตอนที่เราเกิดมาได้เลย เพราะหลังจากมัน"สุก"แล้ว รั้ง..มันมีแต่จะกลายเป็นสันดาน"เน่า" เมื่อรองรับแต่อารมณ์เน่าๆเข้ามา(จิตตก)และล่วงล่นให้ต่ำลงที่ใครๆเค้าก็ไม่อยากจะเข้าใกล้  เพราะหากกลับไปเป็นดิบอีกครั้ง นั่นก็แสดงว่าเราก็คงผิดธรรมชาติแล้วหละ.....
             งั้นประเด็นที่ ๑ ก็พอสรุปได้คือ จงเรียนรู้ที่ปล่อยวางและรู้เท่าทัน โดยใช้สติกำกับไว้เสมอ....รู้เท่า..ก็เพื่อเอาไว้กัน..รู้ทัน..ก็เพื่อเอา ไว้แก้..แค่นั่นเอง




2 ความคิดเห็น

  1. ในทุกๆบทความมีคำตอบที่พวกหนูต้องใช้ในการทดสอบครั้งนี้ ดังนั้นจงพิเคราะห์และจับใจความให้ดีนะจ๊ะ...คงใบ้ได้ประมาณนี้แหละ..นะ

    ตอบลบ
  2. แนะแนวข้อสอบมีแทรกอยู่ในทุกๆบทความ พิจารณาจดจำด้วยเทคนิคนะครับไม่อยากอย่างที่คิด ขอให้น้องๆ โชคดี แนะแนวได้แค่นี้นะครับ เป็นเพียงบางส่วนของการสอบทั้งหมดนะ........โชคดีทุกคนจร้าาาาา

    ตอบลบ
แสดงความคิดเห็น
ใหม่กว่า เก่ากว่า