"ชีวิตครอบครัว"
ในยุคที่สังคมบีดรัดด้วยค่าครองชีพที่แสนจะโหดร้ายในปัจจุบัน หลักธรรมที่ครวแนะนำสำหรับนำมาปลอบประโลมจิตใจในชีวิตครอบครัวให้กระชุ่มกระชวย...ขอนำมากล่าวไว้ ๒ หมวดเล็กๆ ก็แล้วกันนะครับ ประจวบเหมาะกับช่วงการเมือง(บ้านเมือง)ที่แสนจะสับสนวุ่นวาย..กลายเป็นปัญหาสังคมการเมืองที่ยากจะเยียวยา การที่เราเข้าร่วมกลุ่มโน้นมั้งกลุ่มนี้มั้ง...ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นการเข้าร่วมสร้าง(ปัญหา)หรือร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหากันแน่...ตราบใดที่สังคมยังไร้ซึ่งความไว้วางใจซึ่งกันและกันโอ๊ว..เมืองไทย....สยามเมืองยิ้มสูญสิ้นคำขวัญดีๆ ซะแว้ว.....
....ก่อนที่เราจะพูดถึงหลักธรรม ก็ต้องมาเรียนบริบทการดำเนินชีวิตตามแนวทางพุทธศาสนาก่อนดีไหมครับ ขอย้อนกลับไป(เล่าความหลังเริ่มแก่แหละ)..เอาเป็นว่าไม่ต้องย้อนกลับไปมากหรอกครับ..เอาแค่เริ่มกำเนิดโลกและจักรวาลตามคัมภีร์พุทธศาสนาก็แล้วกัน เอ้า..เอ้า..อันนี้พูดไปแล้วครับในหัวข้อการเมือง เอาแค่สังคมอินเดียโบราณเป็นต้นมาก็พอครับ เราคงไม่พูดถึงการแบ่งชั้นวรรณะในอินเดียกันแล้ว เพราะเราเรียนมาตั้งแต่หัวยังไม่หงอกจนหงอกไปทั้งหัวแล้ว สังคมอินเดียโบราณจะดำเนินชีวิตในรูปแบบของหลักศาสนาฮินดู(พราหมณ์) นั้นก็คือหลักอาศรม ๔ ประกอบไปด้วย
๑. วัยพรหมจาริน (Brahmacharin) หรือ วัยเรียน, วัยพรหมจรรย์
๒. วัยคฤหัสถ์ (Grihastha) หรือ วัยครองเรือน
๓. วัยวานปรัสต์ (Vanaprastha) หรือ วัยอยู่ป่า
๔. วัยสันยาสิน หรือ สันยาสี (Sannyasin) หรือ วัยแสวงหาความสงบ
จากหลักการดำเนินชีวิตแบบอาศรม ๔ นี้ อินเดียโบราณประเพณีฮินดู จะให้ความสำคัญกับชีวิตครอบครัวและชีวิตที่หลุดพ้นอย่างเท่าเทียมกัน จะพบแนวคิดนี้ได้จากแบบแผนหรือขั้นตอนการดำเนินชีวิตตามคัมภีร์พระเวทของฮินดู (อาศรม) ซึ่งประกอบด้วยวัยพรหมจารี (วัยแห่งการศึกษา) วัยคฤหัสถ์ (การครองเรือนมีบุตรสืบสกุล) วัยวานปรัสถ์ (การปลีกออกจากเรือนแสวงหาความสงบให้บั้นปลายของชีวิต) และสุดท้าย สันยาสี (ช่วงเวลาแห่งการสัญจรและเผยแพร่สัจธรรม) สำหรับชาวฮินดู ชีวิตมีลำดับขั้นตอนที่ต้องผ่านตามช่วงเวลาที่เหมาะสม การมีครอบครัวเป็นคุณธรรมเชิงศาสนาอย่างหนึ่งเพราะตระกูลต้องได้รับการสืบทอดให้มั่นคงยาวนานสืบไป แต่ก็ไม่ปิดกั้นชีวิตอย่างอื่นเสียทีเดียว คือยอมให้มีชีวิตบั้นปลายที่ไม่ต้องอยู่กับครอบครัว แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องปฏิบัติหน้าที่ในครอบครัวให้ครบถ้วนก่อน คือการมีบุตรไว้สืบสกุล การมีบุตรสืบสกุลจะเปิดโอกาสให้ชีวิตได้ผ่อนพักและสัมผัสกับมิติอื่นที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจิตวิญญาณ ดังนั้น ชีวิตด้านการศึกษา (พรหมจรรย์) และชีวิตการครองเรือน (แต่งงานและมีบุตรสืบทอดวงศ์ตระกูล) จึงเป็นพันธะเบื้องต้นของการดำรงชีวิตแบบฮินดู การแสวงหาสัจธรรมและการเที่ยวสั่งสอนโมกขธรรมเป็นภารกิจของชีวิตในเบื้องปลายที่จะเกิดขึ้น หลังจากได้จัดการชีวิตด้านโลกีย์ของตนไว้อย่างถูกต้องมั่นคงแล้ว การสละบ้านเรือนออกบวชขณะที่ยังไม่มีบุตรดำรงวงศ์ตระกูลนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับกันไม่ได้ ในวิธีแนวคิดแบบฮินดู ลำดับชีวิตทุกขั้นตอนได้ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ชีวิตต้องเป็นไปตามลำดับเวลา
....ก่อนที่เราจะพูดถึงหลักธรรม ก็ต้องมาเรียนบริบทการดำเนินชีวิตตามแนวทางพุทธศาสนาก่อนดีไหมครับ ขอย้อนกลับไป(เล่าความหลังเริ่มแก่แหละ)..เอาเป็นว่าไม่ต้องย้อนกลับไปมากหรอกครับ..เอาแค่เริ่มกำเนิดโลกและจักรวาลตามคัมภีร์พุทธศาสนาก็แล้วกัน เอ้า..เอ้า..อันนี้พูดไปแล้วครับในหัวข้อการเมือง เอาแค่สังคมอินเดียโบราณเป็นต้นมาก็พอครับ เราคงไม่พูดถึงการแบ่งชั้นวรรณะในอินเดียกันแล้ว เพราะเราเรียนมาตั้งแต่หัวยังไม่หงอกจนหงอกไปทั้งหัวแล้ว สังคมอินเดียโบราณจะดำเนินชีวิตในรูปแบบของหลักศาสนาฮินดู(พราหมณ์) นั้นก็คือหลักอาศรม ๔ ประกอบไปด้วย
๑. วัยพรหมจาริน (Brahmacharin) หรือ วัยเรียน, วัยพรหมจรรย์
๒. วัยคฤหัสถ์ (Grihastha) หรือ วัยครองเรือน
๓. วัยวานปรัสต์ (Vanaprastha) หรือ วัยอยู่ป่า
๔. วัยสันยาสิน หรือ สันยาสี (Sannyasin) หรือ วัยแสวงหาความสงบ
จากหลักการดำเนินชีวิตแบบอาศรม ๔ นี้ อินเดียโบราณประเพณีฮินดู จะให้ความสำคัญกับชีวิตครอบครัวและชีวิตที่หลุดพ้นอย่างเท่าเทียมกัน จะพบแนวคิดนี้ได้จากแบบแผนหรือขั้นตอนการดำเนินชีวิตตามคัมภีร์พระเวทของฮินดู (อาศรม) ซึ่งประกอบด้วยวัยพรหมจารี (วัยแห่งการศึกษา) วัยคฤหัสถ์ (การครองเรือนมีบุตรสืบสกุล) วัยวานปรัสถ์ (การปลีกออกจากเรือนแสวงหาความสงบให้บั้นปลายของชีวิต) และสุดท้าย สันยาสี (ช่วงเวลาแห่งการสัญจรและเผยแพร่สัจธรรม) สำหรับชาวฮินดู ชีวิตมีลำดับขั้นตอนที่ต้องผ่านตามช่วงเวลาที่เหมาะสม การมีครอบครัวเป็นคุณธรรมเชิงศาสนาอย่างหนึ่งเพราะตระกูลต้องได้รับการสืบทอดให้มั่นคงยาวนานสืบไป แต่ก็ไม่ปิดกั้นชีวิตอย่างอื่นเสียทีเดียว คือยอมให้มีชีวิตบั้นปลายที่ไม่ต้องอยู่กับครอบครัว แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องปฏิบัติหน้าที่ในครอบครัวให้ครบถ้วนก่อน คือการมีบุตรไว้สืบสกุล การมีบุตรสืบสกุลจะเปิดโอกาสให้ชีวิตได้ผ่อนพักและสัมผัสกับมิติอื่นที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจิตวิญญาณ ดังนั้น ชีวิตด้านการศึกษา (พรหมจรรย์) และชีวิตการครองเรือน (แต่งงานและมีบุตรสืบทอดวงศ์ตระกูล) จึงเป็นพันธะเบื้องต้นของการดำรงชีวิตแบบฮินดู การแสวงหาสัจธรรมและการเที่ยวสั่งสอนโมกขธรรมเป็นภารกิจของชีวิตในเบื้องปลายที่จะเกิดขึ้น หลังจากได้จัดการชีวิตด้านโลกีย์ของตนไว้อย่างถูกต้องมั่นคงแล้ว การสละบ้านเรือนออกบวชขณะที่ยังไม่มีบุตรดำรงวงศ์ตระกูลนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับกันไม่ได้ ในวิธีแนวคิดแบบฮินดู ลำดับชีวิตทุกขั้นตอนได้ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ชีวิตต้องเป็นไปตามลำดับเวลา
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะทรงเสด็จออกผนวชทำให้เห็นว่า พระองค์เห็นชีวิตครอบครัวมีความสำคัญน้อยกว่าการออกบวชเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น และยังแสดงว่า “ครอบครัว” หรือ “วิถีชีวิตของครอบครัว” เป็น “อุปสรรค”
ต่อการหลุดพ้นจากทุกข์อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตอีกด้วย
คำอุทานของเจ้าชายสิทธัตถะที่ว่า“ราหุลเกิดแล้ว”ก็ดี
การที่พระองค์ประทับยืนทอดพระเนตรพระโอรสที่ธรณีประตูเพราะเกรงว่าพระชายาจะตื่นบรรทมก็ดี
ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า “ครอบครัว”
(ในที่นี้คือ บุตรและภรรยา) เป็นพันธะของชีวิต ความในพระดำริที่ว่า “วันนี้ เราควรละทิ้งการครองเรือนออกบวชไปแสวงหาความดับ (นิพพาน)” แสดงให้เห็นว่า หากปรารถนาจะค้นพบนิพพานจำเป็นต้องละการครองเรือน
(ครอบครัว) ซึ่งความในโพธิราชกุมารสูตร ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
การตรัสรู้และการพ้นทุกข์นั้น ไม่เพียงแต่ "กาย"ของบุคคลเท่านั้นที่จะต้อง “หลีก” ออกจากกาม "ใจ"ก็ต้องหลีกออกจากกาม
เช่นเดียวกัน และต้องระงับความพอใจ ความรักใคร่
ความหลงและความกระหายกระวนกระวายในกามได้อย่างเบ็ดเสร็จด้วย หากกายและใจไม่ได้หลีกออกจากกาม
ไม่ว่าบุคคลจะทรมานตนอย่างสาหัสเพียงใด หรือไม่ทรมานตนให้เป็นทุกข์สาหัสเลยก็ตาม
"การตรัสรู้อันยอดเยี่ยม" นั้นก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย เปรียบเสมือนบุรุษที่ต้องการไฟ
ไม่สามารถใช้ไม้สดที่ชุ่มด้วยยางและจมอยู่ในน้ำ
หรือไม้สดที่อยู่บนบกมาสีให้เกิดไฟได้ “แต่ต้องใช้ไม้แห้งที่อยู่บนบกห่างจากน้ำ” เท่านั้น (ม.ม.13/329-331) ภาพอารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกอย่างเย็นชาต่อโอรสและมเหสีของเจ้าชายสิทธัตถะ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากจากบรรดาสตรีนิยมว่า
มันคือภาพของ "บุรุษที่มุ่งการหลุดพ้นจนปราศจากหัวใจ"1
อย่างไรก็ตาม...ถ้าเรายึดเอาแบบแผนตามคำสอนของพราหมณ์พระเวทเป็นตัวตั้ง
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะสละชีวิตครอบครัวออกบวช
พระองค์ได้ละเมิดหลักการของพราหมณ์พระเวทอย่างน้อย 2 ประการด้วยกันคือ
พระองค์ละทิ้งหน้าที่ในคฤหัสถาศรม ละทิ้งการสืบวงศ์ตระกูลต่อจากพระบิดา
(หน้าที่ของบุตรแห่งตระกูล)และไม่เลี้ยงดูพระโอรสที่เพิ่งประสูติ
(หน้าที่ของบุพการี) ยิ่งหลังจากพระองค์ตรัสรู้แล้ว
พระองค์ก็เห็นและให้ความสำคัญกับชีวิตที่ไม่มีทุกข์ (นิพพาน)
อันจะเกิดขึ้นนอกปริมณฑลครอบครัวมากกว่าชีวิตในครัวเรือนอันเป็นทุกข์เพราะเหตุแห่งกามารมณ์(แนวคิดแบบอินเดียโบราณ) ภายหลังตรัสรู้พระองค์จึงทรงกลับกรุงกบิลพัสดุเพื่อสอนเรื่องที่ผลกระทบทางจิตใจต่อพระเจ้าสุทโธทนะ
ตามข้อความนี้
พระเจ้าสุทโธทนะจะทรงอ้างถึงความรักที่บิดามารดามีต่อบุตรไม่ได้ทรงอ้างถึงการสืบตระกูล
ข้ออ้างนี้แสดงให้เห็นข้อตำหนิติติงว่าพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ควรจะต้องให้ความสำคัญกับสายใยของผู้คนภายในครอบครัว
ชีวิตครอบครัวไม่เพียงแค่การตอบสนองต่อกันในเรื่องอำนาจหน้าที่ตามสถานะบทบาท
หากมีปัจจัยที่เชื่อมร้อยชีวิตครอบครัวไว้ซึ่งก็คือ “ความรัก” ที่พ่อแม่มีต่อบุตรหลานของตน
พระเจ้าสุทโธทนะทรงแสดงให้เห็นความรักในพระโอรสของผู้เป็นบิดามารดา
(นัยหนึ่งคือความรักระหว่างคนภายในครอบครัว) นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
เพราะมันตัดลึกลงไปถึงเยื่อในกระดูก พร้อมทั้งทรงเสนอแนะว่า “อารมณ์ความรู้สึก” ของคนในครอบครัวเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์และสงฆ์จะต้องใส่ใจ
การทำหน้าที่ของสงฆ์ตามพระวินัย (ของพระพุทธเจ้า)
จะต้องไม่ทำลายความรักความผูกพันของคนในครอบครัว
กรณีนี้เป็นที่มาที่ทำให้พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยให้ผู้บวชต้องได้รับอนุญาตจากบิดามารดาก่อน
(วิ.ม.4/105)2 พระวินัยปิฎกเล่าว่า
เมื่อพระพุทธองค์ทรงประสบผลสำเร็จอย่างมากในการเผยแพร่คำสอนที่แคว้นมคธ แต่ชาวเมืองได้พากันประณามตำหนิพระองค์และโพนทะนาว่า
“พระสมณโคดมปฏิบัติเพื่อให้ชายไม่มีบุตร
เพื่อให้หญิงเป็นหม้าย และเพื่อความขาดสูญแห่งตระกูล” (วิ.ม.4/63)หรือจะพูดเป็นภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายก็ประหนี่งว่า "ทำให้สตรีเป็นหม้าย ผู้ชายเป็นหมัน สูญสิ้นความสัมพันธ์เชิงสังวาส" คำโจมตีเหล่านี้หากเป็นบริบทอื่นคงไม่ใช่เรื่องรายร้ายอะไรมากนัก แต่หากเป็นสังคมอินเดียโบราณ ซึ่งให้ความสำคัญกับครอบครัวอย่างยิ่งยวดตามบทบัญญัติของศาสนาพราหมณ์ฮินดู การออกจากเรือนเพื่อแสวงหา "สัจจะ" พระเวทอนุญาต แต่ต้องทำหน้าที่การสืบสกุลให้สมบูรณ์เสียก่อน ข้อนี้กลายมาเป็นปัญหาสำคัญข้อแรก อันนำไปสู่การบัญญัตพระวินัยสงฆ์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าด้วย "ปฐมบทแห่งปาราชิก" (ห้ามภิกษุมีเพศสัมพันธ์)นั่นเอง
พระวินัยเล่าว่า
พระพุทธเจ้าทรงนำนันทกุมาร(พระอนุชา)ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าพิธีวิวาหมงคลอย่างจำยอม และพาราหุลกุมารออกบวช
โดยไม่ได้ขออนุญาตจากพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางยโสธรา
เรื่องนี้ได้ก่อให้เกิดความโทมนัสอย่างยิ่งแก่พระเจ้าสุทโธทนะ
จึงเข้าเฝ้าขอพรจากพระพุทธเจ้าว่า
ขอให้พระสงฆ์บวชเฉพาะบุคคลผู้ได้รับอนุญาตจากบิดามารดาแล้วเท่านั้น นี่คือคำกราบทูลของพระเจ้าสุทโธทนะ
เมื่อพระองค์
(พระพุทธเจ้า) ทรงผนวช หม่อมฉันมีทุกข์ไม่น้อย เมื่อพระนันทะบวชก็เช่นเดียวกัน
ครั้นราหุลบรรพชา ก็ยิ่งเกิดทุกข์เหลือประมาณ
พระพุทธเจ้าข้า ความรักในพระโอรสย่อมตัดผิว ตัวผิวแล้วก็ตัดหนัง
ตัดหนังแล้วก็ตัดเนื้อ ตัดเนื้อแล้วก็ตัดเอ็น ตัดเอ็นแล้วก็ตัดกระดูก
ตัดกระดูกแล้วก็ตัดเนื้อเยื่อในกระดูก ขอประทานพระวโรกาส
ขอพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายไม่พึงให้บุตรที่มารดาบิดาไม่อนุญาตบรรพชา (วิ.ม.4/105)
ถึงแม้สิ่งที่พระองค์บัญญัติในครั้งพุทธกาลจะถูกมองไปอีกมุมในบริบทของสังคมอินเดียก็ตาม แท้จริงเราจะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงหลักธรรมมากมายที่ให้พุทธศาสนิกชนให้ความสำคัญต่อครอบครัวอย่างยิ่งยวด และในสิ่งที่แสดงออกเป็นรูปธรรมอย่างเช่น พระอัครสาวกของพุทธเจ้าอย่างพระสารีบุตรนั้น ท่านทราบว่าตนเองจะปรินิพพานภายใน ๗ วัน จึงได้พิจารณาว่า"เราควรจะปรินิพพานที่ไหนดี" และรำลึกถึงมารดา และปราถนากลับไปปรินิพพานที่บ้านเกิด และถือโอกาสช่่วงสุดท้ายของชีวิตแสดงธรรมตอบแทนคุณมารดาซึ่ง "การตอบแทนคุณของมารดา" เป็นข้อผูกพันของพระสารีบุตรตั้งแต่วันออกบวชจนถึงวาระสุดท้าย ถึงแม้มารดาจะแสดงท่าทีเมินเฉยเพราะไม่พอใจตั้งแต่พระสารีบุตรออกบวชหนำซ้ำยังพาน้องชายออกบวชไปอีกคน มารดาก็ยังเมินเฉยทั้งๆทีบุตรชายกำลังอาพาธ ข้อนี้ก็แสดงให้เห็นว่า "ความขัดแย้งระหว่างชีวิตครอบครัวกับชีวิตสมณะในบริบทของสังคมอินเดีย" เมื่อท่านแสดงธรรมโปรดมารดาจนบรรลุโสดาบันแล้ว จึงดำริในใจว่า "เพียงเท่านี้ก็นับตอบแทนคุณมารดา ผู้ที่ฟูมฟักเลี้ยงดูอย่างถนุถนอมแล้ว" และท่านก็สิ้นใจปรินิพพาน........
เอาหละ..ครับพี่น้องครับ...เฮ้ยๆๆน้องๆๆครับ ตอนนี้คิดว่าคงจะพอเห็นบริบทของสังคมอินเดียในสมัยครั้งพุทธกาลพอสมควร เพื่อกระซับเวลา เราหันมาพิจารณาหลักธรรมตามที่องค์สมเด็จพระผุ้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสไว้เมื่อ ๒๐๐๐กว่าปีที่ผ่านมา และขอข้ามบริบทของสังคมไทยในสมัยสุโขทัยอยุธยาข้ามมายุค ๒๕๕๗ เลยแหละกันสั้นๆจบ.. นำมาเล็กน้อยที่สมควรแก่การนำมาดำรงชีวิตในบริบทของสังคมไทยที่กำลังวุ่นวายกันดีกว่า
๑. หลัก"โภควิพาก๔ "
สำหรับธรรมะตามหลักพุทธศาสนาสำหรับครอบครัวที่เหมาะในสถานการณ์ปัจจุบันนี้ ผู้เขียนคิดว่าไม่มีอันไหนจะเหมาะไปกว่าการ “ออม”
และการ “ประหยัด” แล้ว(จะเกิดกลียุคเมื่อไหร่ก็ไม่รู้) เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าของเงินให้มากที่สุด ขอนำเอาหลักโภควิภาค ๔ ได้แก่การจัดสรรทรัพย์ที่หามาได้
แบ่งสำหรับใช้สอยเป็นของใช้และของกินให้ถูกตามหลักพุทธศาสนามาฝากก็แล้วกันครับ มี่สี่ ส่วน ได้แก่
ส่วนที่หนึ่ง : เอเกน
โภคัง ภุญเชยย (On one part he should live and do his duties towards others.) ส่วนนี้ก็คือ การเก็บไว้ใช้สำหรับเลี้ยงคนที่ควรบำรุงได้แก่บิดามารดา
ส่วนที่สอง - สาม : ทวีหิ
กัมมัง ปโยชเย (With two parts he should expand his business.) สองส่วน
ใช้ลงทุนประกอบอาชีพ และถ้าจะให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ ก็ต้องใช้ ปาปณิกธรรมสามอย่างใช้ควบคู่กันไปด้วย ได้แก่
จักขุมา เป็นคนมีหูตาไว วิธูโร
มีความขยันขันแข็ง นิสสยสัมปัณโณ ให้ความสำคัญแก่ลูกค้าที่มาติดต่อ
ส่วนที่สี่ : จตุตฺถัญจะ นิธาเปยยะ And he should save the fourth for a rainy day.)อีกหนึ่งส่วนเก็บไว้ในคราวจำเป็น
หากทำธุรกิจขาดทุน ล้มละลาย อาจจะได้ใช้ส่วนนี้ เข้ามาทดแทนได้
คนโบร่ำโบราณของไทย ได้นำเอาหลักธรรมการแบ่งทรัพย์มาขยายความให้ชัดเจนขึ้นเป็นสี่ส่วนอย่างชาญฉลาด ดังนี้
ส่วนที่หนึ่งใช้หนี้เก่า
หมายถึง ทดแทนบุญคุณมารดา บิดา ครูอาจารย์
ส่วนที่สอง ใส่ปากงูเห่า
หมายถึง ภรรยามีรายก็ให้สามีใช้ด้วย สามีมีรายได้ก็ให้ภรรยาใช้ด้วย
เอาใจใส่ซึ่งกันและกันด้วยความรักและความระมัดระวัง เปรียบเสมือนยื่นมือเข้าไปในปากงูเห่า หากประมาทพลาดพลั้งถูกเงี้ยวถึงแก่ชีวิตได้ ครอบครัวก็เช่นเดียวกันหากเผลอเลอไม่ใส่ใจตัวแล ครอบครัวแตกแยกและล่มสลายมานักต่อนักแล้ว
ส่วนที่สาม ฝังไว้ในดิน
หมายถึง รู้จักเก็บออม ฝากธนาคาร รวมถึงการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยด้วย ค่อยทำอย่าให้ตนเองเกิดความโลภดังกลอนสุภาษิตโบราณที่ว่า
น้ำไหลทีละน้อย....น้ำย้อยทีละหยด
น้ำไหลทีละน้อย....น้ำย้อยทีละหยด
จะไหลมากไหลน้อย...ไหลบ่อยๆ
มันก็เต็ม
ดังนี้ ก็ควรเก็บออมทรัพบ์ตามกำลังที่ตนเองหามาได้ ..และประการสุดท้าย
ดังนี้ ก็ควรเก็บออมทรัพบ์ตามกำลังที่ตนเองหามาได้ ..และประการสุดท้าย
ส่วนที่สี่ ทิ้งลงเหว หมายถึง
การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ ในส่วนนี้ต้องมีสติกำกับให้ดี
เพราะเปรียบเสมือนเหว ที่ทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่มีวันเต็ม
การกู้หนี้ยืนสินก็เช่นเดียวกัน เติมเท่าไหร่ก็ไม่มีเต็ม ใช้หนี้แล้วก็กู้อีกอยู่อย่างนี้
ก่อให้เกิดความเครียดตามมา จนตนเองต้องกลายเป็นโรคจิตไป ดังนั้นในส่วนของการทิ้งลงเหว ต้องแบ่งแยกออกให้ชัดเจนและใช้สติควบคุมมากๆ ในการใช้จ่ายสิ่งที่เป็นประโยชน์ และความสุขจะตามมา
ความสุขที่จะตามมานั้น พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้เรียบร้อยแล้ว ควรศึกษาเป็นบรรทัดฐานของชีวิตเพื่อจะได้นำไปปฏิบัติให้เป็นครรลองต่อไป
ความสุขที่จะตามมานั้น พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้เรียบร้อยแล้ว ควรศึกษาเป็นบรรทัดฐานของชีวิตเพื่อจะได้นำไปปฏิบัติให้เป็นครรลองต่อไป
ครั้งหนึ่ง.....
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า
"ดูก่อนคฤหบดี สุข ๔ ประการนี้ อันคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามควรได้รับตามกาลสมัยสุข๔ ประการ คือ อะไรบ้าง ?..." และพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมให้กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี คือ
๑) อัตถิสุข สุขเกิดจากการมีทรัพย์ เป็นหลักประกันของชีวิต โดยเฉพาะความอุ่นใจ ปลาบปลื้มภูมิใจว่าเรามีทรัพย์ที่หามาได้ด้วยกำลังของตนเอง "ดูก่อนคฤหบดี สุข ๔ ประการนี้ อันคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามควรได้รับตามกาลสมัยสุข๔ ประการ คือ อะไรบ้าง ?..." และพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมให้กับอนาถบิณฑิกเศรษฐี คือ
๒) โภคสุข สุขเกิดจากการบริโภคทรัพย์ หรือใช้จ่ายทรัพย์ คือ รู้จักใช้จ่ายทรัพย์นั้นให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตของตน เลี้ยงดูบุคคลอื่น และทำประโยชน์สุขต่อผู้อื่นและสังคม เป็นต้น
๓) อนณสุข สุขเกิดจากความไม่เป็นหนี้ ไม่ต้องทุกข์ใจ เป็นกังวลใจเพราะมีหนี้สินติดค้างใคร
จะเห็นได้ว่าการเป็นหนี้ บรรดาอีทั้งหลาย (อีออน อีซี่บาย อีมันนี่) แต่ก็มีอีหนึ่ง ที่เราไม่เคยกู้เลย แต่เราก็ต้องส่งดอกตลอดเวลา อี....นั้นได้แก่ ไม่ใช่ "อีแก่" นะครับ เราเป็นปัญญาชนคนมีความรู้กันแล้วไม่เรียกอย่างนั้นแน่นอนไม่สุภาพและไม่บังควรอย่างยิ่ง ต้องเรียกว่า "อีแอทโฮม" ก็คือแม่บ้านเรานั่นเอง ต่อไปก็ให้เรียก อีแอทโฮม ถ้าหากใครได้สัมผัสอีเหล่านี้ จนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วหละก็ จะสัมผัสกับความทุกตลอดเวลา..ผวากับเสียงโทรศัพท์คอยติดตามทวงหนี้ ยกเว้นอีสุดท้ายจะคอยเป็นกำลังใจและช่วยเหลือเราปลอบประโลม
4) อนวัชชสุข สุขเกิดจากความประพฤติที่ไม่มีโทษ คือ มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่สุจริต ที่ใครจะว่ากล่าวติเตียนไม่ได้ มีความบริสุทธิ์ และมีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตของตน
พอสรุปหลัก "โภควิภาก ๔" ได้ว่า เมื่อไหร่เราจัดสรรการใช้สอยทรัพย์ได้อย่างเป็นระเบียบและเคร่งครัด ความสุขในครอบครัวในการดำเนินชีวิตก็จะตามมา แต่ถ้าหากครอบครัวไม่สามารถจัดสรรทรัพย์ได้ ความทุกข์ก็จะตามมา ดังนั้น "ความสุข" จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยหลักการบริหารทรัพย์ข้างต้น เอาหละครับ..ฆราวาสอย่างผมพูดไปท่านอาจจะไม่เชื่อมัน ผมก็เลยขอนุญาต Phone in (Skype) สนทนาธรรมกับท่านพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาซะเลย เพื่อให้โปรดน้องๆ นักศึกษารายวิชาปรัชญาทางพุทธศาสนา ให้เรียนรู้หลักการใช้จ่ายทรัพย์ตามแนวทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่จะสำเร็จการศึกษาออกไปรับใช้สังคม (ตัดตอนเอาเฉพาะที่สาระเยอะๆต้องขออภัย) เชิญรับซมได้แล้ว ซะละละ.....
--------------------------
1. ชาญณรงค์ บุญหนุน,ผศ.ดร.,เอกสารประกอบการบรรยายรายวิชาปรัชญาทางพุทธศาสนา,มหาวิทยาลัยศิลปากร,๒๕๕๖.